สำหรับบทความตอนนี้จะเป็นเรื่องราวของเทคโนโลยีที่ช่วยในการบริหารและจัดการเดสก์ท๊อปในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ และโดยเฉพาะองค์กรที่ได้นำเอา Windows 7 เข้ามาใช้งานก็จะสามารถนำเอาเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าเสริมหรือเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วยครับ และตัวผมเองก็ได้มีการนำเอาเรื่องราวของเทคโนโลยีนี้มานำเสนอกับลูกค้าและตลอดจนลูกศิษย์ของผมด้วยครับ โดยเทคโนโลยีที่ผมเกริ่นเอาไว้มีชื่อเต็ม ๆ ว่า “Microsoft Desktop Optimization Pack”
หรือเรียกสั้น ๆว่า “MDOP (เอ็มด็อพ)” ครับ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมจะนำท่านผู้อ่านของผมมาทำความรู้จักกับ MDOP ครับว่า MDOP คืออะไร และองค์กรสามารถใช้หรือได้ประโยชน์อะไรบ้างจาก MDOP
MDOP คืออะไร ?
MDOP เป็นชุดเทคโนโลยีของทางไมโครซอฟท์ครับ และลูกค้าที่สามารถใช้ MDOP ได้จะต้องมีการทำ Software Assurance (SA) กับทางไมโครซอฟท์ครับ โดยตัวของ MDOP เองจะประกอบไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆ มากมายครับ ซึ่งผมจะไล่เรียงลำดับให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบกันต่อไปครับ แต่สำหรับตอนนี้ผมอยากจะพูดถึงประโยชน์ต่างๆ ที่จะได้รับจาก MDOP ครับผม โดยดูจากรูปด้านล่าง
- ช่วยในเรื่องของการจัดการแอพพิเคชั่นให้ทำงานได้สะดวกมากขึ้นและรองรับกับแอพพิเคชั่นที่ทำงานกับโอเอสรุ่นก่อน ๆ เช่น Windows XP และ Windows Vista
- ช่วยในเรื่องของการตรวจสอบและการแก้ไชปัญหาของเครื่องเดสก์ท๊อปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ช่วยในเรื่องของการจัดทำอินเวนทอรี่
- ปรับปรุงในเรื่องของการจัดการและควบคุม Group Policy ให้มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และจากที่ผมได้เกริ่นเอาไว้ในตอนต้นว่า MDOP ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย เรามาดูกันครับว่ามีเทคโนโลยีอะไรบ้าง และเทคโนโลยีเหล่านั้นมีคอนเซปหรือรายละเอียดเป็นอย่างไร
โดยผมขอเริ่มจาก Asset Inventory Service หรือเรียกสั้น ๆ ว่า AIS ครับ สำหรับ AIS จะเป็นเทคโนโลยีใน MDOP ที่สามารถช่วยองค์กรให้ทราบว่ามี แอพพิเคชั่นใดบ้างที่ใช้งานกันอยู่ และลักษณะการใช้งานแอพพิเคชั่นเหล่านั้นว่าเป็นอย่างไร ตลอดจนใช้ในการจัดการเรื่องของ Software License ด้วย เพื่อจะนำเอาข้อมูลเหล่านี้มาทำการวิเคราะห์และวางแผนกันต่อไปครับ โดยผมจะขอยกตัวอย่างที่เราสามารถนำเอา AIS เข้ามาช่วย เช่น ในกรณีขององค์กรที่เริ่มใช้งาน Windows 7 และมีแผนที่จะเริ่มทยอยติดตั้งและใช้งาน Windows 7 ทั้งหมด จากกรณีข้างต้น มีสิ่งหนึ่งที่จะต้องทำการพิจารณานั่นก็คือ แอพพิเคชั่นต่างๆ ที่เคยรันและทำงานอยู่ในโอเอสรุ่นก่อน ๆ ว่าจะสามารถทำงานบน Windows 7 ได้หรือไม่ นั่นคือปัญหาเรื่องของ Application Compatibility ครับ เพราะฉะนั้นจากการที่เราได้ข้อมูลมากจาก AIS สามารถที่จะนำมาช่วยในเรื่องของการวางแผนและหาวิธีการที่จะจัดการกับแอพพิเคชั่นเหล่านี้ ซึ่งจากประสบการณ์ของผมสำหรับแอพพิเคชั่นที่ใช้งานกันในองค์กร ถ้าเป็นแอพพิเคชั่นที่ทำงานกับ Windows Vista ได้ก็จะสามารถใช้งานหรือทำงานบน Windows 7 ได้ครับ แต่ถ้าเป็นแอพพิเคชั่นที่ทำงานบน Windows XP ผมขอแนะนำว่าให้ท่านผู้อ่านทำการทดสอบก่อนครับ และแอพพิเคชั่นที่ผมกำลังพูดถึงและให้ทำการทดสอบนี้รวมถึงแอพพิเคชั่นที่องค์กรนั้น ๆ ได้มีการพัฒนาขึ้นมาใช้งานเองด้วยครับเพื่อจะได้ทราบแน่นอนว่ามันสามารถรันและทำงานได้หรือไม่ และสุดท้ายเราจะได้หาแนวทางวิธีการ ซึ่งผมจะอธิบายในภายหลังครับ ว่ามีวิธีใดบ้าง
สำหรับเทคโนโลยีต่อไปที่ผมจะอธิบายคือ Microsoft Enterprise Desktop Virtualization (MED-V) และ Application Virtualization For Desktop (App-V) ครับ โดยทั้งคู่จะเป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยในการจัดการสำหรับการใช้งานแอพพิเคชั่นในองค์กร โดยก่อนหน้านี้ผมได้อธิบายไปแล้วสำหรับประเภทและลักษณะการทำงานของแอพพิเคชั่นในองค์กรว่าเป็นอย่างไร โดยผมขอเริ่มที่ MED-V ก่อนครับ
สำหรับ Microsoft Enterprise Desktop Virtualization หรือเรียกสั้น ๆ ว่า MED-V จะเป็นส่วนที่เข้ามาช่วยในการแก้ไขปัญหาเรื่องของแอพพิเคชั่นที่ไม่สามารถทำงานบน Windows 7 ได้ครับ โดยให้แอพพิเคชั่นเหล่านั้นทำงานใน Virtual PC ซึ่งโอเอสที่รันใน Virtual PC ก็จะเป็นโอเอสรุ่นก่อน เช่น Windows XP โดยการทำงานและการใช้งานแอพพิเคชั่นนั้นๆ ผ่านทาง MED-V จะทำให้ผู้ใช้งานรู้สีกและเข้าใจว่าแอพพิเคชั่นนั้นๆ ติดตั้งและทำงานอยู่บนเดสก์ท๊อปครับ ดังรูป
และนอกจากนี้ยังสนับสนุนการทำงานร่วมกับฟีเจอร์ต่างๆ ใน Windows 7 เช่น เราสามารถทำการ Pin แอพพิเคชั่นที่รันหรือทำงานผ่าน MED-V นั้นไว้ที่ Task Bar ได้เหมือนกับแอพพิเคชั่นทั่วๆ ไปครับ นอกจากนี้แล้ว MED-V ยังช่วยผู้ดูแลระบบในการที่จะทำการ Deploy, Provision หรือทำการควบคุมแอพพิเคชั่นที่ทำงานผ่าน MED-V ได้อีกด้วย มีสิ่งที่ผมอยากจะเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยครับ ท่านผู้อ่านบางท่านที่เคยใช้งาน Windows 7 มาพอสมควร อาจมีข้อสงสัยว่าคอนเซปของ MED-V ที่ผมได้อธิบายไป มีความคล้ายคลึงกับฟีเจอร์หนึ่งใน Windows 7 ครับ นั่นก็คือ Windows XP Mode ครับ ผมต้องบอกว่าถูกต้องครับ แต่มีความแตกต่างในเรื่องของการนำไปใช้งานและเรื่องของการบริหารจัดการครับ Windows XP Mode ซึ่งเป็นฟีเจอร์หนึ่งของ Windows 7 เหมาะสำหรับองค์กรที่มีเครื่องที่จำเป็นที่จะต้องใช้งานแอพพิเคชั่นเหล่านั้นจำนวนไม่มากหรือไม่กี่เครื่อง เราสามารถทำการติดตั้งที่ละเครื่องได้ครับ แต่ถ้าเป็นองค์กรที่มีจำนวนเครื่องเยอะ ๆ เราจะต้องใช้ MED-V ครับ เพราะเราสามารถบริหารจัดการได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น เช่น เราสามารถทำ Virtual PC Images ได้ และยังสามารถกำหนด Policy ให้กับยูสเซอร์หรือกลุ่มของยูสเซอร์ในการใช้งานได้ และสุดท้ายก็ทำการส่ง Images ดังกล่าวไปให้ยูสเซอร์ใช้งานต่อไปครับผม ดังรูป
ต่อไปเรามาดูเรื่องของ Microsoft Application Virtualization หรือ App-V กันต่อครับ สำหรับเทคโนโลยีนี้จะเข้ามาช่วยองค์กรที่ต้องการที่จะทำการติดตั้งใช้งานแอพพิเคชั่นที่เครื่องของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะองค์กรที่มีการใช้งาน Windows 7 โดย App-V จะเข้ามาช่วยในการลดค่าใช้จ่ายและเวลาที่ถูกใช้สำหรับเรื่องของการ Distribute แอพพิเคชั่นไปติดตั้งและใช้งานในองค์กร โดย App-V , แอพพิเคชั่นดังกล่าวไม่จำเป็นที่จะต้องติดตั้งหรือไม่ได้ถูกติดตั้งที่เครื่องของผู้ใช้งาน ด้วยความสามารถของ App-V, แอพพิเคชั่นจะถูกแยกการทำงานออกจากระบบปฏิบัติการและทำให้องค์กรได้ประโชน์จาก App-V คือช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดการและดูแลรักษาแอพพิเคชั่นในระยะยาว ดังนั้นหากองค์กรของท่านผู้อ่านมีแนวโน้มที่กำลังจะมีการติดตั้งใช้งานแอพพิเคชั่นในองค์กร และกำลังวางแผนทำการติดตั้งแอพพิเคชั่นดังกล่าวในรูปแบบเดิม ๆ ผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านลองมาทำการทดสอบและใช้งาน App-V ดูนะครับ และข้อดีอีกอย่างหนึ่งของ App-V คือ แอพพิเคชั่นที่ทำงานผ่าน App-V หรือผมขอเรียกว่า “Virtual Application” นั้นจะอยู่บน Desktop ของผู้ใช้งานและยังสามารถให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งาน Virtual Application ดังกล่าวได้ถึงแม้ว่าจะออฟไลน์อยู่ก็ตามครับดังรูปด้านล่างครับ
และตัวของ Virtual Application ดังกล่าวจะทำงานราวกับว่ามันถูกติดตั้งอยู่บนเครื่อง แต่ที่จริงแล้วมันทำงานอยู่ใน Virtual Environment ไม่ว่าจะเป็นตัวแอพพิเคชั่นเองหรื อแม้กระทั่ง Registry ดังรูป สำหรับ App-V นั้นถือเป็น Virtualization รูปแบบหนึ่งในหลากหลายรูปแบบที่ทางไมโครซอฟท์ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้สำหรับองค์กรต่างๆ ครับผม สำหรับรายละเอียดเรื่องนี้ท่านผู้อ่านท่านใดที่สนใจลองเข้าไปดูใน Facebook ของผมนะครับ หรือไปดูที่ลิ๊งก์ด้านล่างครับ http://www.microsoft.com/business/smb/th-th/articles/fy09q4_may/virtualization1.mspx
สำหรับเทคโนโลยีต่อไปใน MDOP ที่ผมจะพูดถึงต่อมาก็คือ Diagnostic And Recovery Toolset หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “DaRT” ครับ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยท่านผู้อ่านที่ประสบกับปัญหาเมื่อเครื่องพีซีของท่านไม่สามารถทำงานได้ตามปรกติ เช่น ไม่สามารถบู๊ตเข้า Windows ได้ตามปรกติ หรืออาจจะเกิดจากไฟล์ของ Windows เองเกิดเสียหาย และอื่นๆ อีกมากมายครับ โดยปัญหาต่างๆ เหล่านี้เป็นสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้เราต้องเสียเวลาในการหาทางแก้ไขปัญหา หรืออาจจะต้องทำการติดตั้ง Windows ใหม่เลยก็ได้ครับ โดยปัญหาที่ผมได้เกริ่นไว้ในข้างต้น เราสามารถใช้ DaRT เพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหาได้ครับ โดย DaRT ประกอบไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ มากถึง 14 ตัวด้วยกัน เช่น เราสามารถทำการกู้ข้อมูลหรือไฟล์ที่ถูกลบ ในกรณีที่คุณมีการใช้ BitLocker ได้, Crash Analyzer จะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่คุณสามารถใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ เมื่อเครื่องของท่านผู้อ่านไม่สามารถบู๊ตได้ และเราสามารถใช้ DaRT ทำการรีเซ็ทพลาสเวิรด์ของ Local User Account เป็นต้น สำหรับในรูปด้านล่างจะเป็นรูปที่แสดงถึงเครื่องมือต่างๆ ที่ผมได้บอกเอาไว้ในข้างต้นครับ
รูปต่อมาเป็นทูลที่ชื่อว่า Locksmith ที่ใช้ในการรีเซ็ท Local User Account ที่ผมได้เกริ่นไว้ข้างต้น
และถ้าเครื่องของท่านผู้อ่านติดพวกมัลแวร์ล่ะก้อ ไม่ต้องห่วงครับเพราะ DaRT มีทูลที่ชื่อว่า Standalone System Sweeper ในการจัดการมัลแวร์ครับ
และรูปต่อมา คือทูลที่ชื่อว่า Crash Analyzer ครับ
และถ้าคุณต้องการกู้ไฟล์ที่ถูกลบ เราสามารถกู้ได้โดยใช้ทูลตัวนี้ครับ File Restore ดังรูป
และถ้าต้องการทูลในการจัดการดิสก์ใน DaRT จะมี 2 ตัวที่น่าสนใจครับ ตัวแรกคือ Disk Commander ครับใช้ในการจัดการดิสก์ ไม่ว่าจะเป็น การ Restore Master Boot Record (MBR), การ Restore Lost Volumes เป็นต้น ส่วนทูลอีกตัวมีชื่อว่า Disk Wipe ครับ จะเป็นทูลสำหรับองค์กรที่ต้องการฟอร์แมตฮารด์ดิสก์ (แบบพิเศษ) สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ท่านผู้อ่านต้องการให้ผู้อื่นไปใช้งานต่อ เช่น การบริจาค เพราะทูลตัวนี้จะทำการฟอร์แมตแบบไม่มีทางกู้ข้อมูลได้ครับ ดังรูป
สำหรับเทคโนโลยีต่อไปคือ System Center Desktop Error Monitoring หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “DEM” เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการเก็บรวบรวมเอาข้อมูลต่างที่เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับแอพพิเคชั่นและระบบปฏิบัติการ โดยที่ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับการใช้งานของยูสเซอร์ในองค์กร เราสามารถใช้ DEM เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์และจัดทำรายงาน เพื่อให้เราทำการศึกษาถึงสาเหตุหรือต้นตอของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับแอพพิเคชั่นที่ใช้งาน และยังสามารถทำงานร่วมกับ System Center Operations Manager 2007 R2 ได้อีกด้วย เพื่อทำเพิ่มขีดความสามารถในการจัดการแบบ End-To-End รูปด้านล่างจะเป็น รายงานที่ได้จาก DEM
และเทคโนโลยีตัวท้ายสุดใน MDOP คือ Advanced Group Policy Management หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “AGPM “ เป็นส่วนที่เข้ามาเพิ่มความสามารถให้กับ Group Policy ผ่านทางการใช้งาน Group Policy Management Console (GPMC) โดยมีฟีเจอร์ใหม่ดังต่อไปนี้:
- Standard Roles ที่จะใช้ในการบริหารจัดการ Group Policy หรือเรียกว่ามี Delegation Model ซึ่งจากเดิมสามารถทำได้ แต่ค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร
- สามารถดูรายลเอียดของการเปลี่ยนแปลงใน Group Policy Object (GPO) เพื่อทำการ Roll back Group Policy Object (GPO)
- ความสามารถในการค้นหาและฟิลเตอร์ GPO โดยการระบุ Attributes
และยังมีอีกฟีเจอร์ที่มากกว่านี้ครับ แต่โดยรวมในส่วนของ AGPM จะเป็นการเพิ่มความสามารถในการจัดการ Group Policy ให้มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าเดิม ดังรูป
และทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่อยู่ใน MDOP ซึ่งเป็นโซลูชั่นที่ใช้ในการบริหารจัดการเดสก์ท๊อปในองค์กร เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดครับ โดยบทความนี้เป็นเพียงแค่หยิบยกเอาคอนเซปและเรื่องราวของเทคโนโลยีดังกล่าวมาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันก่อนครับ สำหรับในโอกาสต่อ ๆ ไปผมจะเจาะลึกในแต่ละเทคโนโลยีของ MDOP กันอีกทีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น