วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Free ebook: Microsoft System Center: Troubleshooting Configuration Manager

     สวัสดีครับทุกท่านผมมี Ebook ให้ทุกท่านได้ไปอ่านกันในช่วงหยุดปีใหม่ครับ  โดยคราวนี้จะเป็นเรื่องราวของการ Troubleshooting System Center 2012 Configuration Manager ครับ

 
 
ท่านผู้อ่านสามารถทำการ Download ได้จาก FB ของผมได้เลยครับ http://www.facebook.com/ITGeist5

วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รู้จักกับแนวคิด “Flexible WorkStyle” ตอนที่ 2

    "สวัสดีครับท่านผู้อ่านและเพื่อนชาว IT Pro ทุกท่าน ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยนะครับที่บทความ Flexible WorkStyle ตอนที่ 2 นั้นมาช้าไปหน่อย  เนื่องด้วยตัวผมต้องเตรียมงานหลายๆ  อย่างครับรวมถึงงานสอนด้วยครับ  ขอบคุณสำหรับหลายๆ ท่านที่เมล์มาเตือนให้ผมเขียนตอนต่อมาของ Flexible WorkStyle   เพราะมีหลายๆ  ท่านไม่ได้เข้าไปฟังเรื่องนี้ตอนที่ผมไปเป็นวิทยากรที่ Microsoft ครับ  เอาล่ะครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลามาดูกันต่อครับกับเรื่องราวของ Flexible WorkStyle ครับ"


Flexible WorkStyle คืออะไร?
อย่างที่อธิบายไว้ในตอนต้นครับว่า เป็นแนวคิดหรือ Framework ที่ทางไมโครซอฟท์ได้ออกแบบมาให้ลูกค้า โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยองค์กรในการวางแผนการบริหารและจัดการเครื่อง Desktops ในองค์กรให้มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ  นอกจากนี้แล้ว Flexible WorkStyle ยังประกอบด้วย Products และเครื่องมือต่างๆ  อีกมากมายครับ  สิ่งแรกที่จะต้องทำสำหรับการที่องค์กรจะพัฒนาและปรับปรุงเพื่อเข้าสู่แนวคิด Flexible WorkStyle คือ การวางแผนและออกแบบ Desktop ในรูปแบบใหม่ (Modernize Desktops) เพื่อเป็นมาตราฐานของ Desktop ที่จะถูกนำมาใช้ในองค์กรครับ  จากรูปด้านล่าง
จากรูปที่ท่านผู้อ่านเห็นอยู่นี้ แสดงถึงส่วนประกอบต่างๆ  ของเครื่อง Desktop ของผู้ใช้งานในองค์กรครับ 
องนึกภาพตามผมนะครับว่าเจ้ารูปสี่เหลี่ยมด้านบนนั้นคือ เครื่อง Desktop ที่เราเห็นอยู่ในออฟฟิศของเราเองหรือเห็นอยู่ทั่วไปครับ ภายในเครื่อง Desktop จะประกอบไปด้วยส่วนประกอบย่อยๆ ดังนี้ครับ
1. Hardware คือ ส่วนตัวเครื่อง Desktop ทั้งหมดครับไม่สนใจว่าจะมีสเปคอย่างไร จะเป็น Desktop หรือ Notebook
2. Operating System คือ ระบบปฎิบัติการที่ถูกติดตั้งและทำงานบน Hardware ดังกล่าว เช่น Windows XP ที่เราใช้งานกันอยู่
3. Application Management คือ แอพพิเคชั่นต่างๆ  ที่ถูกติดตั้งมาที่เครื่องของผู้ใช้งาน จะเป็นแอพพิเคชั่นที่องค์กรติดตั้งมาให้จะผ่านทาง Scripts, Group Policy หรืออื่นๆ  ก็แล้วแต่ครับ หรือแม้กระทั่งผู้ใช้งานติดตั้งแอพพิเคชั่นเองด้วย
4. Data & Settings คือ ข้อมูลที่เก็บอยู่บนเครื่อง Desktop ครับ โดยจะแบ่งได้ 2 แบบ คือ ข้อมูลส่วนตัว (Personal Data)   และ ข้อมูลของการกำหนดค่าต่างๆ   (Data Settings) เช่น User State และ Application Settings เป็นต้นครับ
 
และทั้ง 4 ส่วนที่ผมได้อธิบายไว้ข้างต้นจะอยู่ที่เครื่อง Desktop ของผู้ใช้งานครับ ซึ่งเป็นภาพที่เราเห็นอยู่แล้วเป็นปรกติ  แต่การออกแบบ Desktop ในแบบนี้ซึ่งผมเรียกว่าเป็นแบบ Traditional Desktop จะทำให้เกิดปัญหาและความยุ่งยากในการบริหารและจัดการครับ ซึ่งผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านของผมหลายๆ  ท่านน่าจะประสบพบเจอมาบ้างแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะมาเป็นระยะ ๆ ครับ เช่น เมื่อองค์กรของท่านผู้อ่านมีแผนที่จะต้องเปลี่ยน Hardware ของเครื่อง Desktop ใหม่ตามรอบที่กำหนด
เช่น ทุกๆ 3-5 ปีจะต้องเปลี่ยน  สิ่งที่เราจะต้องมาเตรียมคือ สเปคเครื่องจะเป็นอย่างไร, จะทำ Image ทั้งหมดกี่  Images, จะติดตั้งแอพพิเคชั่นอย่างไร, จะทำการย้ายข้อมูลและค่า Settings (User State Settings) อย่างไร และอื่นๆ  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่หลายองค์กรต้องเจอครับ แต่จะวางแผนรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร เพราะส่วนใหญ่ยังมองแค่ว่า การเปลี่ยน Hardware ของเครื่อง Desktop คือ การเตรียมทำ Image ใหม่ โดยที่ Image ดังกล่าวนี้จะมีแอพพิเคชั่นต่างๆ  ติดตั้งเข้าไปด้วยครับ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ Image มีขนาดใหญ่ และอาจจะมีหลาย Images ทำให้ดูแลยาก  ด้วยรูปแบบนี้เองทำให้เกิดปัญหาต่างๆ  ตามมาอีก เช่น เกิดความไม่คล่องตัวหรือความยืดหยุ่นในการใช้งาน เช่น ผู้ใช้งานอยากใช้งานจากดีไวซ์ต่างๆ ได้ จากที่ไหนก็ได้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เครื่อง Desktop ที่องค์กรเตรียมให้  เรื่องต่อมาคือ ผู้ใช้งานอยากได้สภาพแวดล้อมในการทำงาน (User Environment),แอพพิเคชั่น, ข้อมูล, User State Setting และอื่นๆ  ตามมา เมื่อใช้งานในดีไวซ์ต่างๆ    ซึ่งจาก 4 ส่วนประกอบย่อยๆ  ของ Desktop ด้านบนที่ออกแบบในรูปแบบที่เป็น Traditional Desktop จะตอบโจทย์หรือรองรับกับความต้องการแบบนี้ไม่ได้เลย เนื่องจากทุกส่วนประกอบติดตั้งอยู่ในเครื่อง Desktop ทั้งหมดเลย 
 
ดังนั้นการที่จะพัฒนาและปรับปรุง Modernize Desktop หรือ Desktop ในรูปแบบใหม่และจะเป็นมาตราฐานของเครื่อง Desktop ในองค์กรและเพื่อรองรับกับแนวคิดหรือคอนเซป Flexible WorkStyle นั้นจะต้องทำการแยกส่วนประกอบทั้ง 4 ส่วนนี้ออกมาครับ จากนั้นใช้ Virtualization เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการออกแบบ Desktop ครับ  ดังรูปด้านล่างครับ
สำหรับตอนหน้าผมจะทำการ Map ว่าแต่ละส่วนของ Desktop ที่ผมได้อธิบายไว้ในตอนต้นนั้น จะนำเอาเทคโนโลยี, Products หรือเครื่องมือใดมาช่วยจัดการเพื่อกำหนดเป็น Standardized Desktop ใหม่สำหรับองค์กร เพื่อรองรับกับความต้องการขององค์กร อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นมากขึ้นอีกด้วยครับ  เพราะฉะนั้นโปรดติดตามตอนต่อไปครับผม.....

 
 

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Free ebook: Microsoft System Center: Cloud Management with App Controller

Free ebook: Microsoft System Center: Cloud Management with App Controller

   ผมมี Ebook เล่มใหม่ที่เกี่ยวกับเรื่องของ System Center 2012 App Controller มาฝากทุกท่านครับ


สามารถ Download ได้จาก FB ของผมได้เลยครับ, http://www.facebook.com/ITGeist5

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Tech Talk-Windows Server 2012 R2

     งานสัมมนาดีๆ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งอัดแน่นด้วยเนื้อหาและคุณภาพมาอีกแล้วครับ สำหรับครั้งนี้จะเป็นเรื่องราวของ Windows Server 2012 R2 Features เช่น Active Directory, Dynamic Access Control และอื่นๆ อีกมากมายครับ พร้อมคำแนะนำต่างๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับองค์กรของท่านอีกด้วยครับ  ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงนะครับ สำหรับเพื่อนๆ ชาว IT Pros ทุกท่านครับ แล้วเจอกันครับ วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2013 ครับผม.....


รายละเอียดเพิ่มเติมและกฎกติกาสามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ครับ, http://www.mvpskill.com/kb/techtalk-windowsserver2012r2.html

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

รู้จักกับแนวคิด “Flexible WorkStyle” ตอนที่ 1

    
     สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน  หลังจากที่ผมได้โพสไว้ใน FB ผมว่าอยากจะนำเสนอเรื่องราวและคอนเซปของแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจและมีประโยชน์  ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเป็นวิทยากรที่ไมโครซอฟท์ โดยได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับคอนเซปที่ชื่อว่า “Flexible WorkStyle” ซึ่งเป็นคอนเซปหรือ Framework ที่ช่วยองค์กรในการวางแผนในการบริหารจัดการเครื่อง Desktops ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  โดยคอนเซปหรือ Framework ดัวกล่าวนี้จะช่วยทำให้การบริหารและจัดการ Desktops ในองค์กรมีความยืดหยุ่น, คล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  และนอกจากนี้ยังทำให้ WorkStyle ในการทำงานของผู้ใช้งานในองค์กรมีความสะดวกมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การทำงานของผู้ใช้งานในองค์กรนั้นมีประสิทธิภาพและหยืดหยุ่นมากขึ้น และส่งผลให้การทำงานโดยภาพรวมขององค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ  ซึ่งผมมองเห็นว่าเรื่องนี้น่าจะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านทุกท่านโดยเฉพาะท่านผู้อ่านท่านใดที่มีหน้าที่ในการดูแลและจัดการเครื่อง Desktops ในองค์กร และกำลังวางแผนและแนวทางที่จะมาปรับปรุงและพัฒนาการบริหารและจัดการ Desktops ในองค์กร แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน อย่างไร และจะใช้โซลูชั่นใดดี  ดังนั้นผมจึงนำเอาเรื่องราวนี้มานำเสนอในบทความของผมตอนนี้ครับ 
 
ที่มาที่ไปของการที่ทางไมโครซอฟท์ได้นำเสนอคอนเซปที่เรียกว่า “Flexible WorkSyle” นั้นมาจากที่ทางไมโครซอฟท์ได้แจ้งหรือประกาศแล้วว่าจะหยุดหรือเลิกการซัพพอรต์ Windows XP ในเดือนเมษายนปีหน้านี้ครับ  เพราะฉะนั้นจึงทำให้องค์กรต่างๆ ต้องเตรียมวางแผนบริหารจัดการ Desktops จาก Windows XP มาเป็น Windows 8 หรือ Windows 8.1  ประกอบกัน WorkStyle ในการทำงานของผู้ใช้งานในองค์กรเปลี่ยนไปจากเดิมมากขึ้น เช่น สมัยก่อนผู้ใช้งานจะมีแค่เพียงดีไวซ์เดียว คือเครื่อง Desktop ที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะเพื่อใช้ในการทำงานต่างๆ  หรือบางท่านอาจจะมี 2 ดีไวซ์ เช่นมี เครื่อง Desktop และ Notebook ครับ  และขนาดของเครื่องเหล่านี้จะมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากพอสมควรครับ อีกทั้งยังไม่มีความคล่องตัวเมื่อผู้ใช้งานต้องการใช้งานจากที่อื่นๆ นอกเหนือจากโต๊ะทำงาน ดังรูป
 
 
 
 
แต่เมื่อเทียบกับปัจจุบันผู้ใช้งานหนึ่งคนมีดีไวซ์มากกว่าหนึ่งดีไวซ์ครับ บางคนมีมากกว่า 2 (รวมถึงตัวผมด้วยครับ)   และดีไวซ์ต่างๆ เหล่านี้ในปัจจุบันจะมีขนาดเล็กลงและมีน้ำหนักเบา รวมถึงยังสามารถใช้งานได้นานหลายชั่วโมง  อีกทั้งดีไวซ์เหล่านี้ส่วนหนึ่งไม่ใช่เป็นดีไวซ์ที่องค์กรจัดเตรียมไว้ให้ครับ  เพราะดีไวซ์ที่องค์กรเตรียมให้นั้นจะเป็นเครื่อง Desktop หรือ Notebook ครับ แต่ผู้ใช้งานอยากใช้งานดีไวซ์ที่ซื้อมาเองครับ เนื่องจากมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา นอกจากนี้ยังมีความคล่องตัวในการใช้งานมากกว่าและไม่ถูกควบคุมหรือจัดการ Policy ต่างๆ  เหมือนกับเครื่อง Desktop หรือ Notebook ที่องค์กรได้เตรียมไว้ให้ 
 
ซึ่งจากจุดนี้เองจึงเป็นที่มาของคำว่า “Bring Your Own Devices” หรือเรียกสั้น ๆ ว่า BYOD  ครับ  ซึ่งเรื่องของ BYOD นี่ล่ะครับที่ส่งผลกับการบริหารและจัดการ IT ขององค์กรครับ เพราะผู้ใช้งานต้องการที่จะนำเอาดีไวซ์ของตัวเองเข้ามาใช้งานในองค์กรเหมือนกับ Corporate Devices หรือดีไวซ์ที่องค์กรจัดเตรียมให้ครับ  มีวลีหนึ่งที่กำลังเป็นที่สนใจและถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ  ก่อนหน้านี้จนถึงวันนี้ ผมยังได้ยินอยู่ครับ วลีนี้คือ “Consumerization Of IT” ซึ่งหมายถึงลักษณะการทำงานและความต้องการของผู้ใช้งานที่เปลี่ยนไปจากเดิม คือการที่ผู้ใช้งานต้องการความอิสระและยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น และไม่ได้จำกัดแค่การใช้งานจากดีไวซ์ที่ทางองค์กรได้เตรียมไว้ให้เท่านั้น อีกทั้งผู้ใช้งาน ณ วันนี้มีดีไวซ์มากกว่าหนึ่งตัว  และต้องการนำเอาดีไวซ์เหล่านี้เข้ามาใช้งานในองค์กร ซึ่งก็คือ BYOD ที่ผมได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ครับ  นอกจากนี้แล้วผู้ใช้งานต้องการเข้าถึงหรือทำงานจากดีไวซ์ไหนก็ได้ จากที่ไหนก็ได้ และเวลาไหนก็ได้ครับ  ดังรูป
 
 
และทั้งหมดที่ผมได้อธิบายเป็นสิ่งที่สร้างความท้าทายให้กับองค์กรต่างๆ ว่าจะวางแผนในการบริหารและจัดการอย่างไร และจะเริ่มจากตรงไหนดี ที่จะสามารถตอบโจทย์และรองรับกับความต้องการเหล่านี้ได้  และช่วงที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสพูดคุยกับลูกค้าหลายๆ ที่ครับ ส่วนใหญ่ยังคงใช้ Windows XP กันอยู่ครับ เพราะผู้ใช้งานยังมีความกังวลหลายๆ อย่าง
 
เช่น เมื่อต้องทำการย้ายหรือเปลี่ยนการใช้งานจาก Windows XP มาเป็น Windows 8 ผู้ใช้งานเกิดความกลัวและกังวลว่าจะไม่สามารถใช้งาน Windows 8 ได้เพราะยุ่งยากและสลับซับซ้อน , กลัวว่าแอพพิเคชั่นที่ใช้งานอยู่ ณ ปัจจุบันจะไม่สามารถทำงานบน Windows 8 ได้ (Application Compatibility) และอื่นๆ อีกมากมายครับ  เอาล่ะครับเมื่อมาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านได้ทราบถึงที่มาที่ไปของการทำงานแบบ Traditional WorkStyle คือการทำงานของผู้ใช้งานบน Windows XP ว่าเป็นอย่างไร เมื่อ Windows 8 หรือ 8.1 ที่กำลังจะออกมาและผู้ใช้งานมีลักษณะหรือ WorkStyle ในการทำงานเปลี่ยนไป และมีดีไวซ์หลากหลายรูปแบบที่กำลังจะเข้ามาในองค์กรของเราไม่ว่าจะเป็น Corporate Devices หรือจะเป็น BYOD ก็ตาม เราจะวางแผนเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงและความต้องการเหล่านี้ได้อย่างไร  ไม่ต้องกังวลครับผม เพราะทางไมโครซอฟท์ได้นำคอนเซปและเป็น Framework ที่จะช่วยเราในการวางแผนจัดการเรื่องนี้ อีกทั้งประกอบไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ  มากมายครับ ที่จะพัฒนาและปรับปรุงให้องค์กรของท่านเข้าสู่รูปแบบที่เรียกว่า Flexible WorkStyle ครับ
โปรดติดตามตอนที่ 2 เร็วๆ นี้ครับผม.....
 
 
 

 
 
 
 



 
 
 
 
 
 
 

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

รีวิวฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจใน System Center 2012 R2 Configuration Manager (ConfigMgr)

    
     มาดูกันครับว่ามีฟีเจอร์อะไรใหม่ที่น่าสนใจใน System Center 2012 R2 Configuration Manager หรือ SCCM ซึ่งเป็นชื่อที่เราคุ้นเคยกัน
1.  Supported Windows Server 2012 R2 และ Windows 8.1
2.  สามารถทำการ Re-assign Site ด้วย Reassign Site Feature ในกรณีที่มีหลายๆ Sites
3.  สามารถ Upgrade มาเป็น System Center 2012 R2 Configuration Manager ต้อง Upgrade จาก System Center 2012 SP1 กับ Windows ADK 8.1 เท่านั้น
4.  มีการเพิ่ม 2 Software Updates Templates สำหรับ Patch Tuesday และ Definition Updates
5.  Task Sequences  มีหลายๆ อย่างถูกเพิ่มเติมเข้ามาใน  Task Sequences ของ System Center 2012 R2 Configuration Manager ครับ  อย่างแรกเลยคือ มัน supported  Windows 8.1 และ Windows Server 2012 R2   ลำดับต่อมาคือ สามารถทำการ Deploy Virtual Hard Disk (VHD) จาก  System Center 2012 R2 Configuration Manager Console   โดยผู้ดูแลระบบสามารถสร้าง VHD จาก Task Sequence โดยที่ไม่ต้องทำ Image Disk
 
 
6.  PowerShell supported ใน Task Sequence โดยเป็น Option ที่เพิ่มเติมเข้ามา เหมือนกับ Run Command Line Option ใน SCCM เวอร์ชั่นก่อนๆ 



 
 
7.  Content Management เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Distribution Point  โดยใน System Center 2012 R2 Configuration Manager เราสามารถที่จะทำการ Cancel หรือยกเลิกกระบวนการ Distribution ข้อมูลที่ส่งไปยัง Distribution Point ในขณะที่ทำงานอยู่ได้ ในกรณีที่เราอาจมีการกำหนดค่าผิดไป  นอกจากนี้แล้วยังสามารถกำหนด Priority ให้กับ Distribution Points  ซึ่งทำให้เวลาที่เครื่องของผู้ใช้งานที่ต้องการติดต่อกับ Distribution Point,  System Center 2012 R2 Configuration Manager จะให้เครื่องของผู้ใช้งานเครื่องนั้นๆ  ติดต่อกับ Distribution Point เครื่องที่มี Priority ต่ำที่สุดก่อน  และนอกจากนี้แล้วยังมี Built-In Reports สำหรับการใช้งาน Distribution Point มาให้ด้วยครับ
8.  Integrated กับ Windows Intune เพื่อเพิ่มเติมความสามารถในการจัดการ Users และ Devices ต่างๆ โดยมีชื่อเรียกสำหรับการ Integration นี้ว่า “Unified Modern Device Management”


จากการ Integration นี้ทำให้มีฟีเจอรืในการจัดการ Mobile Devices ต่างๆ  ได้มากขึ้น  เช่น

-  ทำการ Enrollment IOS และ Andriod ผ่านทาง Native App ซึ่งสามารถทำการ Download ได้จาก Apple Store
    หรือ   Google Play Store
-  Supported Andriod (2.1 ขึ้นไป) และ Windows 8.1 (x86/x64 และ RT)
-  ทำ Company Branding สำหรับ Company Portals
-  สามารถทำการ Push และ Uninstall Applications ได้
-  สามารถทำการแสดง Devices เหล่านี้ใน System Center 2012 R2 Configuration Manager Console
นอกจากนี้แล้วยังมีฟีเจอร์ต่างๆ อีกมากมาย เช่น
Device Ownership
เป็น Attribute ที่เราสามารถกำหนดว่า Devices นี้เป็นของส่วนตัวหรือของบริษัท  ซึ่งจะมีผลในการทำ Inventory  เช่น  ถ้าเป็น Device ของบริษัทจะมีรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็น Hardware และ Software ละเอียดมาก  แต่ถ้าเป็น Device ที่กำหนดว่าเป็นส่วนตัวก็จะแสดงเฉพาะ Software ที่ถูกติดตั้งว่ามีอะไรบ้าง เป็นต้น
Mobile Device Settings ใน System Center 2012 R2 Configuration Manager มีรายละเอียดตามรูปด้านล่าง


Remote Access Configuration
System Center 2012 R2 Configuration Manager supported การกำหนดค่าในส่วนของ Network Profiles ต่างๆ  เช่น VPN Profiles, WiFi Profiles และ Certificates ให้กับ Windows 8.1, Windows 8.1 RT, iOS และ Android ดีไวซ์  นอกจากนี้แล้ว System Center 2012 R2 Configuration Manager ยัง supported Windows 8.1 Automatic VPN ด้วย

Full & Selective Wipe
System Center 2012 R2 Configuration Manager สามารถให้เราทำการ Completely หรือ Full Wipe ดีไวซ์ของคุณ หรือทำ Selective Wipe รายละเอียดสามารถดูได้จากรูปด้านล่างครับ


และทั้งหมดนื้เป็นแค่เพียงบางฟีเจอร์ที่ผมคิดว่าน่าสนใจ  ใน System Center 2012 R2 Configuration Manager ที่หยิบยกมาเล่าและนำเสนอให้ทุกท่านได้ทราบกันครับผม…..