วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Understanding Microsoft Desktop Virtualization Part 1

     หลังจากบทความตอนที่แล้วที่ผมได้นำเสนอและอัพเดทเรื่องราวของโซลูชั่นที่เกี่ยวข้องกับ Virtualization ของทางไมโครซอฟท์ไป พร้อมกับอธิบายขั้นตอนต่างๆ  ในการติดตั้งใช้งาน Windows Server 2008 R2 Hyper-V ไปตลอดจนการสร้าง Virtual Machine ขึ้นมา  โดย Hyper-V ถือเป็นรูปแบบหรือโซลูชั่นหนึ่งที่เรียกว่า “Server Virtualization” ซึ่งเป็น  Virtualization ชนิดหนึ่งที่ทางไมโครซอฟท์ได้เตรียมไว้ให้กับลูกค้าที่ต้องการย้ายระบบที่เป็นฟิสิคัลมาเป็น Virtualization ครับ  ซึ่งผมอยากให้ท่านผู้อ่านไปลองติดตั้งและทดสอบกันดูครับ  สำหรับบทความนี้ผมจะนำเสนอ Virtualization อีกรูปแบบหนึ่งที่ชื่อว่า  “Desktop Virtualization” ครับ  โดยโซลูชั่นดังกล่าวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรที่ต้องการหาเครื่องมือในการบริหารจัดการเครื่องเดสก์ท๊อปหรือเครื่องของผู้ใช้งานให้เข้าสู่ Virtualization ครับ 

Desktop Virtualization
ก่อนที่จะไปที่ Desktop Virtualization ผมอยากจะย้อนกลับไปที่เรื่องของ  Microsoft Virtualization ซึ่งมีโซลูชั่นต่าง ๆ มากมายหลายรูปแบบครับ  แต่ผมได้อธิบายว่าเราสามารถแบ่งประเภทหรือรูปแบบของ Virtualization ได้เป็น  2 รูปแบบ คือ Virtualization สำหรับเซิรฟเวอร์ซึ่งก็คือ Server Virtualization ซึ่งมี Hyper-V เป็นพระเอกคอยดูแลและจัดการอยู่  ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือ Virtualization สำหรับเดสก์ท๊อปครับ ซึ่งประกอบด้วย Desktop Virtualization, Application Virtualization, Presentation Virtualization และ User State Virtualization  เอาล่ะครับมาถึงตรงนี้ผมขอเริ่มเข้าสู่เรื่องราวของ Desktop Virtualization ครับ อย่างที่ผมได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ครับว่า  การนำเอาเทคโนโลยีหรือโซลูชั่นของ Virtualization เข้ามาบริหารจัดการในองค์กรมีอยู่หลายแบบ  แต่สำหรับ Desktop  Virtualization จะเป็นโซลูชั่นที่มาช่วยในการจัดเครื่องเดสก์ท๊อปหรือเครื่องของผู้ใช้งานในองค์กรครับ   โดยที่ผ่านมาท่านผู้อ่านจะเห็นว่าการบริหารจัดการเครื่องเดสก์ท๊อปหรือเครื่องของผู้ใช้งานนั้นมีหลายเรื่องที่จะต้องจัดการ  เช่น การติดตั้งระบบปฏิบัติการ, การกำหนดค่าคอนฟิกต่างๆ ในการงาน, การติดตั้งซอฟท์แวร์หรือแอพพิเคชั่นต่างๆ  ที่จำเป็นต่อการทำงาน  และยังรวมถึงการดูแลรักษาข้อมูล เป็นต้น  ซึ่งงานต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นงานที่จะต้องใช้ทั้งกำลังคน, เวลา และค่าใช้จ่ายมากพอสมควรครับ

จากรูปด้านบนเป็นรูปที่แสดงถึงส่วนประกอบต่างๆ ของเครื่องของผู้ใช้งานในองค์กรครับว่าประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ  ดังที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นครับ  เพราะฉะนั้นการที่จะนำเอา Desktop Virtualization เข้ามาใช้งานในองค์กรจะช่วยให้งานต่างๆ  ที่จะต้องทำสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในขณะเดียวกันจะต้องลดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายขององค์กรด้วย  ผมอยากให้ท่านผู้อ่านดูรูปดังต่อไปนี้ครับ


โดยคอนเซปของ  Desktop Virtualization  จะเป็นการแยกส่วนต่างๆ ของเครื่องเดสก์ท๊อปออกมาดังรูปด้านบนครับ  โดยสิ่งสำคัญสำหรับ Desktop Virtualization คือ การแยกส่วนที่เป็น  ระบบปฏิบัติการ Operating System (OS) และ ส่วนที่เป็นแอพพิเคชั่นออกจากส่วนที่เป็นฮารด์แวร์  โดยส่วนที่เป็นระบบปฏิบัติการและแอพพิเคชั่นนั้นเราเอา Desktop Virtualization   เข้ามาจัดการแทน  นั้นหมายความว่าต่อไปเราสามารถนำเอาส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งคู่ไปรันหรือทำงานบนฮารด์แวร์ที่มีความแตกต่างกันได้และยังสามารถจัดการปัญหาเกี่ยวกับความไม่เข้ากันระหว่างระบบปฏิบัติการใหม่ เช่น Windows 7 กับแอพพิเคชั่นเก่าๆ  ได้ด้วยโดยเราเรียกปัญหานี้ว่า “Application Compatibility”  ครับ  ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้เป็นปัญหาที่ทำให้หลายองค์กรที่จะปรับเปลี่ยนระบบปฏิบัติการ เช่น จาก Windows XP ไปเป็น Windows 7 ไม่สามารถทำได้เนื่องจากติดปัญหาที่ Application Compatibility   เพราะฉะนั้นผมขอสรุปว่า Desktop Virtualization จะเป็นโซลูชั่นที่เข้ามาช่วยจัดในส่วนของ Application Compatibility และยังช่วยทำให้การบริหารจัดการงานต่างๆ  สำหรับเดสก์ท๊อปสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น  ซึ่งจะส่งผลทำให้องค์กรประหยัดทั้งกำลังคนและเงินครับ  สำหรับ Desktop Virtualization จะมี 3 แบบครับ ดังรูป


โดยทั้ง  3 แบบคือ   Virtualization เทคโนโลยีที่เข้ามาจัดการในส่วนที่เป็น ระบบปฏิบัติการหรือแอพพิเคชั่น  เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องของ Application Compatibility  ตามที่ผมได้อธิบายไปในช้างต้นครับ  ผมขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ที่ผมได้เข้าไปพบปะพูดคุยกับลูกค้าที่ต้องการนำเอา Desktop  Virtualization เข้ามาใช้งานในองค์กร  โดยสิ่งที่ลูกค้าผมต้องการคือ เปลี่ยนระบบปฏิบัติการจากเดิมที่ใช้อยู่ไปเป็น Windows 7 เพราะลูกค้าต้องการใช้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ  ความต้องการต่อมาคือจะทำอย่างไรให้แอพพิเคชั่นต่างๆ  ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันสามารถรันและทำงานกับ Windows 7 ได้  ซึ่งโดยปรกติจะมีทั้งแอพพิเคชั่นที่สามารถทำงานหรือรันกับ Windows 7 ได้  แต่บางแอพพิเคชั่นไม่สามารถรันหรือทำงานใน Windows 7 ได้  สิ่งที่ลูกค้าถามผมคือจะทำอย่างไรกับปัญหานี้  เพราะถ้าไม่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้ แผนงานที่จะย้ายระบบปฎิบัติการจากเดิมไปเป็น Windows 7 ก็ไม่สามารถทำได้  ดังนั้นสิ่งที่ผมบอกลูกค้าคือ ให้ลูกค้าทดลองใช้งาน Desktop Virtualization ของทางไมโครซอฟท์ครับ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องของ Application Compatibility   ซึ่งใน Desktop Virtualization มีหลายแบบที่สามารถนำมาใช้ในกรณีนี้ครับ  โดยผมขอหยิบเอาแบบแรกคือ “Client-Hosted (XP Mode)” 

Client-Hosted (XP Mode)
เป็นรูปแบบหนึ่งของ Desktop Virtualization ที่จะเข้ามาช่วยจัดการปัญหาเรื่องของ Application Compatibility   โดยมีคอนเซปดังรูปด้านล่างครับผม

จากรูปด้านบนเป็นการแสดงถึงคอนเซปและส่วนประกอบต่างๆ   ของ Client-Hosted (XP Mode)   โดยมีรายละเอียดดังนี้  เครื่องเดสก์ท๊อปของผู้ใช้งานจะติดตั้ง Windows 7 Enterprise Edition ครับ  จากนั้นทำการติดตั้งส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วนคือ  Windows Virtual PC และ XP Mode ครับ  โดยจะต้องทำการดาวน์โหลดจากไมโครซอฟท์ตามลิ๊งค์ด้านล่างครับ http://www.microsoft.com/windows/virtual-pc/download.aspx   ดังรูปด้านล่างครับ


โดยให้ท่านผู้อ่านทำการดาวน์โหลดตามขั้นตอนต่างๆ  ที่เห็นจากรูปด้านบน และจะได้ไฟล์ทั้งหมดดังรูปด้านล่างครับ

จากนั้นให้ทำการติดตั้งทั้งหมดลงในเครื่องที่รัน Windows 7 ครับ  ผมขออธิบายเพิ่มเติมสำหรับ 2   ส่วนที่เราต้องไปดาวน์โหลดมา ดังนี้ครับ
- Windows XP Mode คือ Virtual Machine ที่ติดตั้ง Windows XP SP3 มาให้เลย   และเราไม่ต้องเสียค่า License
- Windows Virtual PC   คือ เวอร์ชั่นใหม่ของ Microsoft Virtual PC 2007 SP1   และมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ ๆ   ดังนี้

Windows Virtual PC สามารถติดตั้งและใช้งานได้กับ Windows 7 Editions   ดังต่อไปนี้ครับ

- Windows 7 Home Basic Edition

- Windows 7 Home Premium Edition

- Windows 7 Professional Edition

- Windows 7 Ultimate Edition

- Windows 7 Enterprise Edition

Requirements สำหรับเครื่องที่จะติดตั้ง  Windows  Virtual PC  ดังรูปด้านล่าง

และนี่คือหน้าตาของ Windows Virtual PC ครับ


สำหรับท่านผู้อ่านที่เคยใช้ Microsoft Virtual PC มาแล้ว สามารถใช้งาน Windows Virtual PC ได้อย่างรวดเร็วครับ  ไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนรู้ใหม่  แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่เคยใช้มาก่อน ผมขอบอกว่าสามารถทำตาม Wizard ที่ท่านผู้อ่านเห็นจากรูปด้านบนได้ครับ  เอาล่ะครับผมคงไม่ลงไปในรายละเอียดสำหรับ Windows Virtual PC  นะครับ  เพราะอย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น  สำหรับขั้นตอนต่อไปผมจะเริ่มทำการติดตั้ง XP Mode จากไฟล์ที่ผมได้ทำการดาวน์โหลดมาก่อนหน้านี้ครับ  และรูปด้านล่างจะเป็นการเริ่มติดตั้ง XP Mode


ให้ท่านผู้อ่านทำการคลิ๊ก Next ต่อได้เลยครับ  สำหรับในขั้นตอนต่อมาจะเป็นการกำหนดที่ที่ใช้เก็บ Virtual Hard Disk ของ XP Mode (ซึ่งก็คือ Virtual Machine ที่มาพร้อมกับ Windows XP + SP3)  ดังรูป


จากนั้นให้คลิ๊ก Next เพื่อเริ่มทำการติดตั้ง XP Mode ดังรูปด้านล่างครับผม


จากนั้นให้ท่านผู้อ่านรอสักครู่ครับ จะปรากฏไดอะล๊อกซ์ที่แจ้งว่าการติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังรูป

จากนั้นให้คลิ๊ก Finish ครับ  เอาล่ะครับเมื่อมาถึงตรงนี้เราได้ทำการติดตั้ง Windows XP Mode เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำการกำหนดค่าต่างๆ ให้กับ Windows XP Mode ซึ่งจะมีขั้นตอนอีกเล็กน้อยครับ จากนั้นเราจะได้ Virtual Machine ที่มี Windows XP + SP3 มาใช้งานกัน  และทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่รูปแบบแรกของ Desktop Virtualizaiton  ของทาง Microsoft เท่านั้นนะครับ  คราวหน้าผมจะมาอธิบายรูปแบบที่เหลือของ Desktop Virtualization ครับผม.....


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น