1. Configuration Manager 2012 เป็น
64 บิท
ซึ่งก่อนหน้านี้ในเวอร์ชั่น 2007
R2/R3 เป็น 32 บิทเท่านั้น
เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สามารถทำ Direct Upgrade จาก Configuration
2007 Site ที่เป็น 32 บิท ไปเป็น
Configuration Manager 2012 ที่เป็น 64 บิท ได้
วิธีเดียวที่ทำได้คือการทำ Migration โดยใน
Configuration Manager 2012 จะมีเครื่องมือที่ช่วยในการย้าย Objects และข้อมูลต่าง
ๆ จาก
Configuration Manager 2007 Site Hierarchy มาใน
Configuration Manager 2012 Hierarchy
2. Configuration Manager คอนโซล (ใหม่)คอนโซลใหม่ที่ทำให้การใช้งานดูง่ายและสะดวกขึ้น โดยในเวอร์ชั่นก่อนจะใช้ MMC ครับ แต่ผมต้องบอกว่าอาจจจะต้องใช้เวลาปรับตัวในระยะแรก
ๆ ครับ เพราะเรายังไม่คุ้นเคย แต่ถ้าใช้งานไปสักระยะหนึ่งผมคิดว่าท่านผู้อ่านจะชอบเหมือนผมครับ ดังรูป
ท่านผู้อ่านจะสังเกตเห็นว่าหน้าตาคอนโซลของ Configuration
Manager 2012 จะเหมือนกับ VMM ครับ
และต้องบอกว่าคอนโซลใน System Center 2012 จะมีหน้าตาแบบนี้ครับ
3. User-Centric Management
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากใน Configuration Manager 2012 คือ “User
Centric Management” ครับ หรือการทำ .”User
Device Affinity (UAC)” โดยให้กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้งานกับดีไวซ์
ซึ่งทำให้การบริหารจัดการต่างๆ ใน Configuration Manager 2012 จะทำในมุมของผู้ใช้งานเป็นหลัก
ซึ่งจะแตกต่างจากในเวอร์ชั่นก่อนคือ
การบริหารและจัดการส่วนใหญ่จะมองในรูปของระบบและดีไวซ์ ดังนั้นจึงทำให้การบริหารจัดการใน
Configuration Manager 2012 มีความสะดวกและมีความยืดหยุ่นมากขึ้นครับ
ผมขอยกเอาเรื่องราวของการทำ Software Distribution ในองค์กร
โดยใข้ SCCM 2007 R2/R3 สิ่งที่ผมต้องทำคือ สร้าง
Collection ตาม Systems หรือตามเครื่อง โดยผมจะต้องทำการสร้างและกำหนด
Query เพื่อกำหนดเงื่อนไข
เพื่อต้องการเครื่องที่ผมต้องการที่จะทำการติดตั้ง Software แต่สำหรับใน Configuration Manager 2012 เราสามารถทำการกำหนดหรือระบุ
Users หรือ Groups (จาก Active Directory) ได้เลย รูปด้านล่าง แสดงถึงมุมมองในการบริหารจัดการของ
Configuration Manager โดยด้านซ้ายจะเป็นเวอร์ชั่นในปัจจุบันจะมองและจัดการดีไวซ์ แต่ในเวอร์ชั่น 2012
จะมองและจัดการในมุมของผู้ใช้งานครับ
และนอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถกำหนด สิ่งที่เรียกว่า “Primary
Device” หรือเราสามารถกำหนด
Rules ในการกำหนด Primary Device ได้ครับ
ดังรูป
ผมขออธิบายคร่าว ๆ สำหรับ Primary Device ใน Configuration Manager 2012 คือ
ดีไวซ์ที่ผู้ใช้ ๆ งานบ่อย ๆ หรือเป็นประจำ และผู้ใช้งานสามารถมีได้หลาย ๆ Primary Devices ครับ เพราะในการทำงานปัจจุบัน
ผู้ใช้งานหนึ่งคนมีดีไวซ์มากกว่า 1 ดีไวซ์ในการทำงาน
โดยใน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้งานกับดีไวซ์
สามารถกำหนดรูปต่าง ๆ ได้ ดังนี้
- 1 Primary Device ต่อ 1 User
- หลาย ๆ Primary Devices ต่อ 1 User
- หลาย ๆ Primary Users ต่อ 1 Device
นอกจากนี้ยังสามารถกำหนด Software Policy
ที่แตกต่างกันได้สำหรับ Primary และ Non-Primary Devices ตัวอย่าง เช่น ถ้าผมทำการ Log on ที่เครื่องของคนอื่น
ซึ่งเครื่องดังกล่าวไม่ได้กำหนดเป็น Primary Device ของผม Software ต่างๆ
ที่ได้กำหนด Policy เอาไว้ตาม Primary Device จะส่งผลให้เครื่องดังกล่าวจะไม่มี
Software นั้นติดตั้งให้ผมใช้งานได้ครับ
4. Application Model
เป็นส่วนที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการแบบ User Centric Management
ตามที่ผมได้อธิบายไปแล้วในตอนต้น โดยเราสามารถใช้ Application Model ในการทำ Uninstall,
Supersede และทำ On-demand
Installation โดยใน Configuration Manager 2012, Application
สามารถประกอบไปด้วยรูปแบบของการ Deployments หลายแบบ เช่น MSI, APP-V และอื่นๆ
และในแต่ละแบบของการ
Deployment จะมีวิธีการติดตั้งแอพพิเคชั่นที่แตกต่างกันไป ดังรูป
และยังสามารถกำหนดเรื่องของ Dependencies ของแอพพิเคชั่น ได้อีกด้วย เช่น ผมต้องการติดตั้งแอพพิเคชั่น B ลงไปที่เครื่องของผู้ใช้งาน แต่ที่เครื่องของผู้ใช้งานจะต้องมีแอพพิเคชั่น A ติดตั้งก่อน ดังรูป
5. Application
Catalog
เป็น Web Portal สำหรับให้ผู้ใช้งานสามารถทำการเลือกติดตั้ง Software หรือ Applications
ต่างๆ ได้
คล้ายกับ App Store ซึ่งจากเดิมการทำ Software Distribution ใน SCCM
2007 R2/R3 ทำได้โดยผ่านการ Advertisement แต่ในการทำ Software Distribution
ใน
Configuration Manager 2012 มีหลายวิธีครับ
Application Catalog เป็นทางเลือกหนึ่งในการติดตั้ง Software หรือ Applications ให้กับผู้ใช้งาน ดังรูป
6. Role-Based
Administration
การกำหนดหน้าที่หรือการ Delegate งานต่างๆ ในการบริหารและจัดการส่วนต่างๆ ของ Configuration Manager 2012 ให้กับผู้ใช้งาน
เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ดูแลระบบนั้น สามารถทำได้โดยการใช้ Role-Based Administration ซึ่งในเวอร์ชั่น 2012
มีการปรับปรุงให้สามารถกำหนดค่าต่างๆ
ได้ง่ายมากขึ้น และเมื่อผู้ใช้งานที่เราได้ทำการกำหนด Role-Based
Administration ให้แล้ว เมื่อเปิดคอนโซลขึ้นมาใช้งาน
ก็จะเห็นเฉพาะส่วนที่สามารถทำงานได้เท่านั้น โดยใน Configuration Manager 2012 ได้เตรียม
15 Rules
สำหรับ
Role-Based Administration มาให้ใช้งาน
รูปด้านล่าง แสดงถึง คอนโซลที่ได้ทำการ
Delegate งานในการจัดการส่วนต่างๆ ใน SCCM 2007 R2/R3 ให้กับผู้ใช้งาน
ซึ่งทำได้ค่อนข้างยากเพราะต้องทำการซ่อนส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป
แต่ถ้าใช้ Role-Based Administration ใน Configuration
Manager 2012 จัดการเรื่องเดียวกัน จะเป็น ดังรูป
จะเห็นว่าผู้ใช้งานเห็นและจัดการเฉพาะส่วนที่ได้รับการ
Delegate เท่านั้น
และทัง้หมดนี้เป็นการรีวิว SCCM 2012 เพียงแค่ตอนแรกเท่านั้นนะครับ ยังมีอีกหลาย ๆ ฟีเจอร์ที่น่าสนใจนะครับ เพราะฉะนั้นโปรดติดตามตอนที่ 2 เร็ว ๆ นี้นะครับผม .....
น่าสนใจมากเลยครับ
ตอบลบlike like !!!!
ตอบลบพอจะบอกได้ไมหครับว่าใน SCCM ส่วนใหญ่ติดตั้ง Application ไหนบ้างเพื่อใช้งานบน SCCM ให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด บอกเป็นชื่อ App ได้ไหมครับ ช่วยผมที
ตอบลบ