Microsoft Private Cloud คืออะไร
คือ การจัดเตรียม Resources ต่างๆ ขึ้นมาเพื่อให้บริการกับองค์กรเดียวเท่านั้น เช่น ถ้าท่านผู้อ่านทำการสร้าง Cloud ขึ้นมาและกำหนดให้สำหรับออฟฟิศของท่านผู้อ่านใช้อ่านเพียงองค์กรเดียว แบบนี้แหละครับเราจะเรียก Cloud ที่สร้างขึ้นมาในลักษณะแบบนี้ว่า Private Cloud ครับผม และรูปด้านล่างจะเป็นโซลูชั่นของทางไมโครซอฟท์ที่เตรียมไว้ให้เราใช้งาน โดยครอบคลุมทั้ง 3 Cloud Service Models ครับสำหรับบทความนี้ผมจะโฟกัสไปที่ Iaas Service Model หรือการสร้าง Private Cloud โดยใช้โซลูชั่นของทางไมโครซอฟท์ โดยประกอบไปด้วย Microsoft Windows Server 2008 R2 Hyper-V และ Microsoft System Center 2012 Suite ย้ำนะครับถ้าจะสร้าง Private Cloud ผมแนะนำครับว่าจะต้องใช้ทั้ง Windows Server 2008 R2 และ System Center 2012 ครับ โดยเฉพาะตัวของ System Center 2012 นั้นถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการบริหารและจัดการ Cloud ไม่ว่าจะเป็น Private และ Public Clouds ดังนั้นถ้าเราต้องการสร้าง Private Cloud โดยใช้โซลูชั่นของไมโครซอฟท์ เราจะต้องมี Windows Server 2008 R2 Hyper-V ซึ่งเป็น Hypervisor ที่จัดทำหน้าที่ในการบริหารและจัดการ Resources ครับ ส่วนการบริหารและจัดการ Cloud จะเป็นหน้าที่ของ System Center 2012 ดังรูป
เอาล่ะครับได้เวลาตอบคำถามแล้วครับ ถ้าท่านผู้อ่านท่านใดมีคำตอบแล้ว เรามาลองดูครับว่าตรงกับคำตอบที่ผมกำลังจะเฉลยและอธิบายหรือไม่ คำตอบ คือ องค์กรที่ได้ย้ายระบบที่เป็น Physical เข้าสู่ Virtualization แล้วต้องบอกว่าสามารถปรับปรุงเพิ่มเติมระบบเข้าสู่ Private Cloud ได้ครับ และถ้าท่านผู้อ่านสังเกตบทความนี้ของผม ในตอนต้นผมได้อธิบายไปแล้ว่า Virtualization เป็นพื้นฐานที่สำคัญให้กับระบบไอทีขององค์กรที่จะก้าวเข้าสู่ Cloud ครับ สำหรับคำถามที่ถามถึงความแตกต่างระหว่างระบบที่ได้นำเอา Virtualization มาใช้แล้วกับ Private Cloud นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร ผมขอตอบว่ามีความแตกต่างกันแน่นอนครับ ผมขออธิบาย จากรูปด้านล่างครับ
รูปดังกล่าวนี้แสดงถึงการบริหารและจัดการระบบไอทีในองค์กรที่มีการนำเอา Virtualization มาใช้งานแล้ว ซึ่งผมขอเรียกว่า “Traditional Virtualization” ปัญหาหรือข้อจำกัดของ Traditional Virtualization คือ การบริหารและจัดการ Resources ต่างๆ จะเป็นหน้าที่ของผู้ดูแลระบบแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ดังนั้นหากผู้ใช้งานในองค์กรต้องการ Virtual Machine มาใช้งานแอพพิเคชั่นของแผนก ก็จะต้องทำการร้องขอทางเมล์, ทางโทรศัพท์ หรือทางอื่นๆ แล้วแต่นโยบายของแต่ละองค์กร สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ผู้ใช้งานที่ร้องขอจะต้องรอจนกว่าผู้ดูแลระบบจะทำการสร้าง Virtual Machine และติดตั้ง
ระบบปฏิบัติตามที่ได้ร้องขอเอาไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจจะใช้เวลานาน และนอกจากนี้แล้วหลังจากที่ได้ Virtual Machine แล้ว หากผู้ใช้งานมีความต้องการอื่นๆ เพิ่มเติมอีก เช่น ต้องการ Virtual Machine เพิ่ม หรือต้องการปรับเปลี่ยนค่าต่างๆ ใน Virtual Machine เช่น ต้องการ Virtual Processor, Virtual Memory และอื่นๆ เป็นต้น ซึ่งการร้องขอเพิ่มเติมก็จะพบปัญหาเดียวกันคือ การใช้เวลานานในการจะทำสิ่งต่างๆ ที่ต้องการ เพราะจะต้องรอให้ผู้ดูแลระบบเป็นผู้จัดการอีกเช่นเดียวกัน นี่คือปัญหาหรือข้อจำกัดของ Traditional Virtualization ครับ แต่ถ้าผมจะบอกว่าความต้องการดังกล่าวของผู้ใช้งานจากตัวอย่างนี้ สามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวของเขาเอง ไม่ต้องรอหรือให้ผู้ดูแลระบบมาจัดการให้เหมือนเช่นเคย นอกจากนี้แล้วหากผู้ใช้งานต้องการอะไรเพิ่มเติมก็สามารถทำได้แบบ On-demand ทันทีเช่นกัน และการกระบวนการดังกล่าวจะทำให้โดยอัตโนมัติ และผู้ใช้งานที่ร้องขอไม่จำเป็นที่จะต้องทราบเรื่องราวของ Virtualization ต่างๆ เลย แต่สามารถที่จะทำการสร้าง Virtual Machine ได้ด้วยตัวเอง และคำตอบที่ผมตอบและอธิบายนี้คือความแตกต่างระหว่าง Traditional Virtualization กับ Private Cloud ครับ และในเวลาเดียวกันท่านผู้อ่านจะทราบถึงข้อจำกัดของ Traditional Virtualization ไปด้วยครับ สำหรับรูปต่อมา จะแสดงถึงคอนเซปการทำงานของ Private Cloud ที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น