วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

Welcome to Cloud Computing ตอนที่ 2

Welcome to Cloud Computing ตอนที่ 2

Microsoft Private Cloud คืออะไร
คือ การจัดเตรียม Resources ต่างๆ  ขึ้นมาเพื่อให้บริการกับองค์กรเดียวเท่านั้น  เช่น ถ้าท่านผู้อ่านทำการสร้าง Cloud ขึ้นมาและกำหนดให้สำหรับออฟฟิศของท่านผู้อ่านใช้อ่านเพียงองค์กรเดียว  แบบนี้แหละครับเราจะเรียก Cloud ที่สร้างขึ้นมาในลักษณะแบบนี้ว่า Private Cloud ครับผม  และรูปด้านล่างจะเป็นโซลูชั่นของทางไมโครซอฟท์ที่เตรียมไว้ให้เราใช้งาน  โดยครอบคลุมทั้ง 3 Cloud Service Models ครับ


สำหรับบทความนี้ผมจะโฟกัสไปที่ Iaas Service Model หรือการสร้าง Private Cloud โดยใช้โซลูชั่นของทางไมโครซอฟท์  โดยประกอบไปด้วย Microsoft Windows Server 2008 R2 Hyper-V และ Microsoft System Center 2012 Suite  ย้ำนะครับถ้าจะสร้าง Private Cloud ผมแนะนำครับว่าจะต้องใช้ทั้ง Windows Server 2008 R2 และ System Center 2012 ครับ  โดยเฉพาะตัวของ System Center 2012 นั้นถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการบริหารและจัดการ Cloud  ไม่ว่าจะเป็น Private และ Public Clouds   ดังนั้นถ้าเราต้องการสร้าง Private Cloud โดยใช้โซลูชั่นของไมโครซอฟท์ เราจะต้องมี Windows Server 2008 R2 Hyper-V ซึ่งเป็น Hypervisor ที่จัดทำหน้าที่ในการบริหารและจัดการ Resources ครับ  ส่วนการบริหารและจัดการ Cloud จะเป็นหน้าที่ของ System Center 2012 ดังรูป
มาถึงตรงนี้ผมมีคำถามนึงที่อยากจะถามท่านผู้อ่านครับ  ซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามที่ผมถูกถามบ่อยมากครับ  เพราะลูกค้าที่มาเรียนหรือที่ผมเป็นที่ปรึกษาให้ยังมีความสับสน  เอาล่ะครับมาลองดูคำถามกันเลย  ถ้าองค์กรที่มีการย้ายระบบ Datacenter   ที่มีเซิรฟเวอร์เป็น Physical  ไปเป็น Virtual Machines แล้ว นั่นหมายความว่าได้นำเอา Virtualization เทคโนโลยีมาใช้แล้ว จะย้ายระบบดังกล่าวเข้าสู่ Private Cloud  ได้อย่างไร  และจำเป็นต้องย้ายเซิรฟเวอร์ที่เป็น  Physical มาเป็น Virtual Machines หรือไม่  และระบบปัจจุบันที่ใช้ Virtualization แล้ว มีความแตกต่างจาก Private Cloud อย่างไร  นี่แหละครับคำถามทั้งยาว และสร้างความสับสนได้มากพอสมควรทีเดียวครับ  ถ้าท่านผู้อ่านเป็นผมจะตอบหรืออธิบายอย่างไรครับ  หรือท่านผู้อ่านบางท่านที่อ่านบทความตอนนี้และมาถึงจุดนี้อาจจะมีคำถามคล้าย ๆ แบบนี้ก็ได้ครับ  ผมให้เวลาท่านผู้อ่านสัก 1-2 นาทีครับ…..
เอาล่ะครับได้เวลาตอบคำถามแล้วครับ  ถ้าท่านผู้อ่านท่านใดมีคำตอบแล้ว  เรามาลองดูครับว่าตรงกับคำตอบที่ผมกำลังจะเฉลยและอธิบายหรือไม่  คำตอบ คือ  องค์กรที่ได้ย้ายระบบที่เป็น Physical เข้าสู่ Virtualization แล้วต้องบอกว่าสามารถปรับปรุงเพิ่มเติมระบบเข้าสู่ Private Cloud ได้ครับ  และถ้าท่านผู้อ่านสังเกตบทความนี้ของผม  ในตอนต้นผมได้อธิบายไปแล้ว่า Virtualization เป็นพื้นฐานที่สำคัญให้กับระบบไอทีขององค์กรที่จะก้าวเข้าสู่ Cloud ครับ  สำหรับคำถามที่ถามถึงความแตกต่างระหว่างระบบที่ได้นำเอา Virtualization  มาใช้แล้วกับ Private Cloud นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร  ผมขอตอบว่ามีความแตกต่างกันแน่นอนครับ  ผมขออธิบาย  จากรูปด้านล่างครับ

รูปดังกล่าวนี้แสดงถึงการบริหารและจัดการระบบไอทีในองค์กรที่มีการนำเอา Virtualization มาใช้งานแล้ว  ซึ่งผมขอเรียกว่า “Traditional Virtualization”  ปัญหาหรือข้อจำกัดของ Traditional  Virtualization คือ การบริหารและจัดการ Resources ต่างๆ  จะเป็นหน้าที่ของผู้ดูแลระบบแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น  ดังนั้นหากผู้ใช้งานในองค์กรต้องการ Virtual Machine มาใช้งานแอพพิเคชั่นของแผนก ก็จะต้องทำการร้องขอทางเมล์, ทางโทรศัพท์  หรือทางอื่นๆ  แล้วแต่นโยบายของแต่ละองค์กร  สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ  ผู้ใช้งานที่ร้องขอจะต้องรอจนกว่าผู้ดูแลระบบจะทำการสร้าง Virtual Machine และติดตั้ง
ระบบปฏิบัติตามที่ได้ร้องขอเอาไว้ก่อนหน้านี้  ซึ่งอาจจะใช้เวลานาน  และนอกจากนี้แล้วหลังจากที่ได้ Virtual Machine   แล้ว  หากผู้ใช้งานมีความต้องการอื่นๆ  เพิ่มเติมอีก เช่น ต้องการ Virtual Machine เพิ่ม หรือต้องการปรับเปลี่ยนค่าต่างๆ ใน Virtual Machine  เช่น ต้องการ Virtual Processor, Virtual Memory และอื่นๆ  เป็นต้น  ซึ่งการร้องขอเพิ่มเติมก็จะพบปัญหาเดียวกันคือ การใช้เวลานานในการจะทำสิ่งต่างๆ  ที่ต้องการ  เพราะจะต้องรอให้ผู้ดูแลระบบเป็นผู้จัดการอีกเช่นเดียวกัน  นี่คือปัญหาหรือข้อจำกัดของ Traditional Virtualization ครับ  แต่ถ้าผมจะบอกว่าความต้องการดังกล่าวของผู้ใช้งานจากตัวอย่างนี้ สามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวของเขาเอง  ไม่ต้องรอหรือให้ผู้ดูแลระบบมาจัดการให้เหมือนเช่นเคย  นอกจากนี้แล้วหากผู้ใช้งานต้องการอะไรเพิ่มเติมก็สามารถทำได้แบบ On-demand ทันทีเช่นกัน  และการกระบวนการดังกล่าวจะทำให้โดยอัตโนมัติ และผู้ใช้งานที่ร้องขอไม่จำเป็นที่จะต้องทราบเรื่องราวของ Virtualization ต่างๆ  เลย แต่สามารถที่จะทำการสร้าง Virtual Machine ได้ด้วยตัวเอง  และคำตอบที่ผมตอบและอธิบายนี้คือความแตกต่างระหว่าง Traditional Virtualization กับ Private Cloud ครับ และในเวลาเดียวกันท่านผู้อ่านจะทราบถึงข้อจำกัดของ Traditional Virtualization ไปด้วยครับ  สำหรับรูปต่อมา                จะแสดงถึงคอนเซปการทำงานของ Private Cloud ที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากกว่า
โดยเริ่มจากผู้ดูแลระบบทำการสร้าง Private Cloud เตรียมไว้ก่อน  จากนั้นทำการกำหนดผู้ใช้งานว่ามีใครบ้างที่สามารถใช้งานได้ นอกจากนี้แล้วผู้ดูแลระบบยังสามารถกำหนด Quota (โควต้า)  ของ Resources ใน Cloud ได้ว่าจะมี Capacity เท่าใด  และยังสามารถกำหนดบทบาทต่างๆ  ให้กับผู้ใช้งานได้ตามความเหมะสมอีกด้วย    สำหรับในตอนหน้าผมจะอธิบายการสร้าง Private Cloud โดยการใช้ System Center 2012 ครับ  โปรดติดตามในตอนต่อไปครับผม.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น