มาถึงตรงจุดนี้ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านพอจะเห็นภาพและเข้าใจคอนเซปต่างๆ ของ HA, DR และอื่นๆ ตามที่ผมได้อธิบายไปแล้วในข้างต้น
มาถึงตรงนี้ผมจะขอเข้าสู่เรื่องราวและรายละเอียดของ Hyper-V Replica หรือ
HVR ให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจและเห็นภาพว่า HVR
ทำงานอย่างไรและมีประโยชน์อย่างไรครับผม
Hyper-V Replica เป็นฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการทำ
Business Continuity และ Disaster Recovery (*จากคำอธิบายข้างต้น ) ให้เราสามารถทำการ
Replicate Virtual Machines แบบ Asynchronous ผ่าน Link ที่มีความเร็วจำกัดหรือค่อนข้างช้าได้
และอย่างที่ผมได้อธิบายไว้ข้างต้นว่า Hyper-V Replica เป็นฟีเจอร์ที่ทางไมโครซอฟท์ออกแบบมาสำหรับการทำ
DR โซลูชั่นไม่ได้ถูกนำมาใช้แทน Clustering (หมายเหตุ: Clustering เป็นโซลูชั่นที่ออกแบบมาสำหรับการทำ
Availability)
ประโยชน์ของ Hyper-V Replica
1. Hyper-V Replica ช่วยย้าย Workloads (VMs) จาก
Primary Site ที่เกิดความเสียหาย จาก เหตุการณ์ต่างๆ เช่น
ไฟไหม้, ไฟดับ, ภัยธรรมชาติต่างๆ และอื่นๆ
ไปยัง Replica Server ที่อยู่ใน Secondary Site หรือ Site สำรอง ด้วย
Downtime ที่น้อยที่สุด (*ขึ้นอยู่กับการออกแบบและโซลูชั่น)
2. Hyper-V Replicas ที่ตั้งอยู่ที่ Primary และ Secondary Sites
ไม่ต้องเหมือนกัน เช่นที่ Primary Site มี Hyper-V Replica ที่ทำ Clustering แต่ที่
Secondary Site สามารถเป็นได้ทั้ง Clustering หรือ Stand-Alone Hyper-V Replica ก็ได้
3. มี API รองรับการการพัฒนาเพื่อทำการสร้าง Enterprise Disaster
Recovery ที่มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
Hyper-V Replica Requirements
- Hardware สนับสนุนหรือรองรับ Hyper-V Role และต้องเป็น
Windows Server 2012
- พื่นที่หรือ Storage ที่เพียงพอสำหรับทั้ง Hyper-V Servers ที่อยู่ที่ Primary
Site
และ Hyper-V (Replica) Servers ที่อยู่ที่ Secondary Site หรือ Site สำรอง
- เน็คเวิรค์ที่เชื่อมต่อระหว่าง Primary และ
Secondary Sites
- การกำหนด Firewall Rules เพื่ออนุญาตให้สามารถทำการ Replication ระหว่าง
Primary และ Secondary Sites
- ถ้าคุณต้องการการเข้ารหัสข้อมูลของการ Replication คุณสามารถใช้
Certificate-Based Authentication (X.509 v3)
สิ่งหนึ่งที่ผมขออธิบายเพิ่มเติมเนื่องมีบางท่านเกิดความสับสนระหว่าง
Hyper-V Replica กับ Hyper-V Live Migration
โดยตัวของ Hyper-V Replica นั้นจะทำการ Replicate
และทำการจัดการให้ชุดสำเนาของ VMs ที่ถูก Replicated
ไปนั้นให้มีความทันสมัย (Keep Up-to-Date)
หากเกิดกรณีของ Disaster ต่างๆ
เราสามารถทำการ Switch ไปใช้งานชุดสำเนาของ VMs เหล่านั้นที่
Site
สำรอง ซึ่งถือว่าเป็น Unplanned Downtime
แต่สำหรับ Hyper-V Live Migration
จะเป็นการย้าย Virtual Machines จาก Hyper-V Host หนึ่ง ไปอีก
Host
หนึ่ง แบบ Planned Downtime เช่น ท่านผู้อ่านอาจจะต้องทำการปิดหรือ Shutdown
Hyper-V Host บางตัวเพื่อทำการ Maintenance ดังนั้นเราจะทำการย้าย
VMs
ที่รันอยู่ใน Hyper-V Host นั้น ๆ ไปอีก Host หนึ่งแบบ
Zero Downtime ครับ
เมื่อเริ่มทำการ Replication โดย Hyper-V Replica, จะเริ่มด้วยการ copy VHDs
ทั้งหมดที่คุณได้กำหนด โดย VHDs ทั้งหมดจะต้องถูกส่งไปยัง Hyper-V
Replica Server ที่อยู่ที่ Site สำรอง
ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนี้จะต้องถูกทำก่อนที่จะทำการ Replication ตาม
Cycle ปรกติ (ซึ่งสามารถกำหนดความถี่ให้ทำการ
Replicate Virtual Machines ที่เราต้องการจาก Site หลักไปยัง DR Site ได้ทุก ๆ 5
นาที นอกจากนี้แล้ว Hyper-V Replica มีความแตกต่างจากโซลูชั่นอื่น
ๆ คือ มันสามารถทำการ Replicate Virtual Machines
จากที่หนึ่งไปที่หนึ่งได้โดยไม่คำนึงว่า Link
ดังกล่าวนั้นจะมีความเสถียร (Reliability) มากน้อยแค่ไหน) Hyper-V Replica มี 3 รูปแบบให้เลือกสำหรับการเริ่มทำ
Replication
1. ทำการส่ง VHDs ที่คุณได้เลือกไว้ไปยัง Replica Server ที่
Secondary Site หรือ Site สำรอง ผ่านทางเน็คเวิรค์
โดยเราสามารถสั่งได้ทันทีหรือจะกำหนด Schedule ก็ได้ครับ
2. ใช้ชุด Backup ที่คุณได้ทำการสำรองข้อมูล (VHDs) แล้วทำการส่งไปยัง
Site สำรอง
3. ใช้ External Media โดยทำการก๊อปปี้ VHDs
ที่เราต้องการ แล้วทำส่ง External Media นั้นไปยัง Site สำรอง
หลังจากที่เราได้เริ่มทำการ Replication ด้วย
Options ต่างๆ ตามข้างต้นแล้ว
Hyper-V Replica จะทำการส่งส่วนที่เปลี่ยนแปลงของ VM นั้นตาม Schedule ที่กำหนด โดยการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้จะถูกติดตามหรือTracked ได้จาก Log
ไฟล์
และจะถูก Compressed ก่อนที่จะถูกส่งไปยัง Replica Server โดย Log ไฟล์ดังกล่าวนี้จะมีนามสกุล “.hrl” และจะอยู่ในที่เดียวกันกับที่เก็บ
VHDs ที่จะถูก
Replicated และยังสามารถทำการ Compress หรือบีบอัดข้อมูล (Virtual Machines) เมื่อมีการ
Replication ดังรูป
และเพื่อสร้างความปลอดภัยสำหรับการทำ Replication ของ
Hyper-V Servers, เราจะต้องทำการกำหนดค่าในส่วนของ
Windows Firewall เพื่ออนุญาตให้ Replication Traffic วิ่งผ่านได้
ซึ่งขั้นตอนนี้เราจะต้องทำเหมือนกันหมดนะครับไม่ว่าจะใช้ Firewall ยี่ห้อใด ๆ แต่ถ้าใช้ Windows Firewall จะมี
Rules ที่ของ Hyper-V Replica มาให้โดย Default, แต่ท่านผู้อ่านจะต้อง
enable แบบ manual ครับโดยทำได้จาก Windows Firewall with
Advanced Security Management Console, โดยจะมี 2 Inbound
Rules:
1. Hyper-V Replica HTTP Listener (TCP-In)
2. Hyper-V Replica HTTPS Listener (TCP-In)
หมายเหตุ: ดูขั้นตอนโดยละเอียดอีกครั้งจากตอนที่ทำการติดตั้ง
Hyper-V Replica ครับ และถ้าใช้ HTTPS
เราจะต้องเตรียม Certificate-Based Authentication
มาใช้งานด้วยครับ ซึ่งเราสามารถใช้ Windows Server 2012 ทำหน้าที่เป็น
CA
เพื่อดูแลและจัดการ Certificates ได้ครับ
สำหรับการ Authentication สำหรับ Hyper-V Replica นั้นมี 2
แบบให้เลือกครับ คือ Kerberos และ Certificated-Based Authentication ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น