สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับบทความนี้ของผมจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Service หนึ่งใน Microsoft Azure ครับ โดย Service ดังกล่าวนี้จะเกี่ยวข้องกับท่านผู้อ่านที่เทำหน้าที่เป็น Developer หรือท่านใดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการพัฒนา Software หรือ Application ครับ โดยส่วนตัวผมเคยมีประสบการณ์ได้เข้าไปมีส่วนรวมในการออกแบบ Azure Architecture และแนะนำให้ลูกค้านำเอา Service นี้มาใช้งานด้วยครับ นอกจากนี้แล้วยังมีหลายๆ องค์กรเลยครับ ที่มีความต้องการที่จะนำเอา Service ดังกล่าวนี้เข้ามาประยุกต์ใช้งานในองค์กรครับ Service ที่ว่านี้มีชื่อว่า "Azure API Management" ครับ เอาล่ะครับเรามาทำความรู้จักกับ Azure API Management กันเลยครับ
Azure API Management
อย่างที่ผมได้เกริ่นไว้ในตอนต้นครับว่า Service (Azure API Management) นี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับท่านผู้อ่านที่ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนา Application ครับ สำหรับท่านใดที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับ Infrastructure ผมแนะนำว่าให้ทำความรู้จักไว้ซักหน่อยก้อดีครับ โดยผมขอเริ่มจากสิ่งที่เรียกว่า "APIs" หรือชื่อเต็มๆ คือ "Application Programming Interfaces" พอคุ้นๆ หรือเคยได้ยินมั๊ยครับ ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านทุกท่านน่าจะเคยได้ยินมาบ้างไม่มากก้อน้อยนะครับ แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่เทำหน้าที่เป็น Developer ผมเชื่อว่าน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีครับ และต้องบอกว่า APIs เป็นสิ่งถูกนำมาใช้งานในแทบจะทุกๆ องค์กรเลยครับ จะมากหรือน้อยแค่นั้นครับ สำหรับ APIs ถือว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งขององค์กรเลยครับ
เริ่มโดยคอนเซปของ APIs ก่อนนะครับ ถ้าอธิบายง่ายๆ APIs คือ การสร้างการเชื่อมต่อระหว่าง Application ให้สามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้ครับ และทำให้เราสามารถใช้งานหรือบริการต่างๆ ของ Application ได้ครับ ผมขออธิบายเพิ่มเติมสำหรับคอนเซปของ APIs อีกนิดนึงครับ อีกมุมหนึ่งสำหรับ APIs คือ การเรียกใช้โปรแกรมหรือ Application โดยเราต้องเริ่มจากการคิดว่า Servers ต่างๆ ที่เราต้องการใช้บริการต่างๆ นั้น เป็น โปรแกรมหรือ Application ครับ เช่น Servers ของ Twitter, Facebook, ของ Google, ของธนาคารต่างๆ, และอื่นๆ อย่างกรณีลูกค้าผมเค้าต้องการติดต่อกับ Servers ของธนาคารครับ ดังนั้น Servers เหล่านี้ถ้าต้องการให้คนอื่นเข้ามาใช้งาน ก็ต้องมีการกำหนดคำสั่งต่างๆ เพื่อใช้งานครับ และวิธีหรือคำสั่งสำหรับใช้งาน Servers ต่างๆ นี้แหละครับเราเรียกว่า "APIs" ครับ
ในแต่ละองค์กรมีการใช้งาน APIs กันอยู่แล้วครับ เพียงแต่จะมากหรือน้อยครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการและกลยุทธ์ทางธุรกิจขององค์กรครับ ดังนั้นแต่ละองค์กรก็จะมี Developer เพื่อทำการพัฒนาและใช้งาน APIs ทั้งในรูปแบบที่ใช้งานกันภายใน (Internal) องค์กร และ ภายนอก (External) เช่น Partners และมีความเป็นไปได้เช่นกันครับที่บางครั้งที่ Developer มีการพัฒนาและสร้าง APIs ขึ้นมาเพื่อใช้งานกับ Application เดียว นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้อีกเช่นกันที่มีความต้องการที่จะแชร์ APIs ครับ นอกจากนี้แล้วยังมีปัญหาอื่นๆ อีกครับสำหรับการที่ Developer จะจัดการ APIs เช่น การวิเคราะห์ Performance ของ APIs, การติดตามการใช้งาน APIs และอื่นๆ และจากประเด็นและปัญหาดังกล่าวนี้เองจึงเป็นความท้าทายหรือ Challenge คือ องค์กรจะทำการป้องกัน (Protect) และจัดการ (Manage) APIs อย่างไร?
นอกจากนี้แล้ว Developer อาจจะมีความต้องการเพิ่มเติม โดยเฉพาะในกรณีที่มีความต้องการที่จะแชร์ APIs ใช้งานทั้งภายในและภายนอก เช่น การควบคุมการใช้งาน, การกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงและใช้งาน APIs, และอื่นๆ ตลอดจนในช่วงเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน การพัฒนา Application โดยใช้คอนเซปและเทคโนโลยีของ Container และ Serverless ยิ่งทำให้ APIs มีบทบาทสำคัญมากขึ้นครับ เป็นต้น จาก Challenge ดังกล่าวนี้จึงเป็นจุดที่มีการนำเอาคอนเซปของ API Strategy และ Governance เข้ามาช่วยจัดการกับ Challenge ดังกล่าวโดยใช้ Azure API Management ครับ
Azure API Management ทำหน้าที่เป็น APIs Gateway โดยเตรียมวิธีการที่มีความ Reliable, Secure และ Scalable สำหรับใช้ในการ Publish, Consume, และ Manage APIs ครับ โดย Azure API Management ไดเตรียม Central Interface สำหรับใช้ในการสร้าง, จัดการ, และอื่นๆ ตลอดจนเครื่องมือหรือ Tools ต่างๆ เพื่อใช้ในการจัดการ APIs ตลอดจนการวิเคราะห์ Performance, การติดตามการใช้งาน, เรื่องของความปลอดภัย (Security) สำหรับ Azure API Management สามารถทำ IP Whitelisting เพื่อกำหนดว่าให้สามารถ Call หรือเรียก APIs จาก IP ใด, Authentication, และ Authorization ครับ รูปด้านล่างเป็นตัวอย่างของ Azure API Management Architecture ครับ
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับเรื่องราวของ Azure API Management ท่านผู้อ่านสามารถไปที่ Link นี้ได้เลยครับ https://docs.microsoft.com/en-us/azure/api-management/api-management-key-concepts
อีก Link หนึ่งนะครับ เกี่ยวกับการ Import และ Publish APIs ใน Azure API Management ครับ
https://docs.microsoft.com/en-us/azure/api-management/import-and-publish
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ Azure API Management ซึ่งเป็น Service หนึ่งใน Microsoft Azure ที่ผมอยากแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกันครับผม.....
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563
วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2563
Windows Admin Center (WAC) Hybrid Management Tools
สวัสดีครับทุกท่าน สบายดีนะครับ ผมหวังว่าทุกท่านสบายดีและปลอดภัยกันทุกท่านนะครับ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ครับ สำหรับตัวผมเอง, ช่วงที่ผ่านมามีการปรับเปลี่ยนพอสมควรครับ ทั้งในเรื่องรูปแบบของการทำงานซึ่งจะเป็นแบบ Online มากขึ้น ตลอดจนเรื่องของการเผยแพร่ความรู้ครับ นอกเหนือจาก FB และ Blog แล้ว ผมได้มีโอกาสจัดทำวีดีโอต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Windows 10, Microsoft Azure, และอื่นๆ ร่วมกับทาง Microsoft แล้ว ผมยังมี Channel ใหม่เพิ่มเติมให้ทุกท่านได้ติดตามกันครับนั่นคือ YouTube https://www.youtube.com/wisitthongphoo ครับ โดยผมจะมีการอัพเดท Content เรื่อยๆ ครับ ฝากติดตามกันด้วยนะครับ
เอาล่ะครับมาเข้าเรื่องกันเลยครับ สำหรับบทความตอนนี้ผมจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับเครื่องมือหรือ Tools ตัวหนึ่งที่สามารถช่วยท่านในเรื่องของการบริหารและจัดการ Windows Server ที่อยู่ใน On-Premise Data Center รวมถึงยังสามารถทำงานร่วมกับ Microsoft Azure เช่น สามารถทำการเชื่อมต่อเข้าไปยัง Azure Virtual Machine (Azure VM) เพื่อทำการจัดการเปรียบเสมือนกับ VM ตัวดังกล่าวทำงานอยู่ใน On-Premise Data Center ครับ, สร้าง Azure VM, และยัง Integrate ทำงานร่วมกับ Services อื่นๆ ใน Microsoft Azure อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ต่างๆ อีกเยอะแยะมากมายครับ และทุกครั้งที่ผมสอนหลักสูตร Microsoft Azure Administrator ผมมักจะแนะนำเครื่องมือดังกล่าวนี้ให้กับลูกค้าที่เข้าอบรมเพื่อจะได้กลับไปทดลองและประยุกต์ใช้งานในองค์กรของลูกค้าต่อไปครับ
และทาง Microsoft จะมีการอัพเดทเพิ่มความสามารถให้กับเครื่องมือดัวกล่าวนี้เป็นระยะๆ อีกด้วยครับ เกริ่นมาพอสมควรแล้วเรามารู้จักเครื่องมือที่ว่านี้กันครับ เครื่องมือหรือ Tools นี้มีชื่อว่า "Windows Admin Center" หรือเรียกสั้นๆ ว่า "WAC" ครับ และบทความนี้ผมจะเน้นในส่วนของการทำงานร่วมกันสำหรับการบริหารและจัดการระหว่าง Windows Admin Center (WAC) กับ Microsoft Azure ครับ
เอาล่ะครับมาเข้าเรื่องกันเลยครับ สำหรับบทความตอนนี้ผมจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับเครื่องมือหรือ Tools ตัวหนึ่งที่สามารถช่วยท่านในเรื่องของการบริหารและจัดการ Windows Server ที่อยู่ใน On-Premise Data Center รวมถึงยังสามารถทำงานร่วมกับ Microsoft Azure เช่น สามารถทำการเชื่อมต่อเข้าไปยัง Azure Virtual Machine (Azure VM) เพื่อทำการจัดการเปรียบเสมือนกับ VM ตัวดังกล่าวทำงานอยู่ใน On-Premise Data Center ครับ, สร้าง Azure VM, และยัง Integrate ทำงานร่วมกับ Services อื่นๆ ใน Microsoft Azure อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ต่างๆ อีกเยอะแยะมากมายครับ และทุกครั้งที่ผมสอนหลักสูตร Microsoft Azure Administrator ผมมักจะแนะนำเครื่องมือดังกล่าวนี้ให้กับลูกค้าที่เข้าอบรมเพื่อจะได้กลับไปทดลองและประยุกต์ใช้งานในองค์กรของลูกค้าต่อไปครับ
และทาง Microsoft จะมีการอัพเดทเพิ่มความสามารถให้กับเครื่องมือดัวกล่าวนี้เป็นระยะๆ อีกด้วยครับ เกริ่นมาพอสมควรแล้วเรามารู้จักเครื่องมือที่ว่านี้กันครับ เครื่องมือหรือ Tools นี้มีชื่อว่า "Windows Admin Center" หรือเรียกสั้นๆ ว่า "WAC" ครับ และบทความนี้ผมจะเน้นในส่วนของการทำงานร่วมกันสำหรับการบริหารและจัดการระหว่าง Windows Admin Center (WAC) กับ Microsoft Azure ครับ
รู้จักกับ Windows Admin Center (WAC)
ดังที่ผมได้เกริ่นไว้ในตอนต้นเกี่ยวกับ WAC เรามาทำความรู้จักกับ WAC กันให้มากขึ้นนะครับ สำหรับเครื่องมือหรือ Tools ตัวนี้ ทาง Microsoft ได้จัดทำและพัฒนาโครงการที่ชื่อว่า Honolulu ขึ้นมา โดยโครงการดังกล่าวนี้จะทำการสร้างและพัฒนาเครื่องมือหรือ Tools ที่จะมาใช้ในการบริหารและจัดการ Windows Server ในรูปแบบ Centralized Management และสามารถทำงานร่วมกับ Microsoft Azure เพื่อให้ WAC สามารถเข้าไปบริหารและจัดการ Services ต่างๆ ใน Microsoft Azure เช่น Azure Virtual Machine, Azure Backup, Azure Monitor, และอื่นๆ
โดย Windows Admin Center หรือ WAC เป็น ฺBrowser-Based Tools ที่สามารถช่วยองค์กรในการบริหารและจัดการ Windows Server 2019, Windows Server 2016, Windows Server 2012 R2, Windows Server 2012, Windows 10, Azure Stack, HCI, และอื่นๆ รวมถึงการทำงานร่วมกับ Microsoft Azure ดังที่ผมได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ครับ
รูปด้านล่าง เป็นรูปที่แสดงถึงฟีเจอร์หรือความสามารถต่างๆ ของ Windows Admin Center (WAC) ในการบริหารและจัดการ Windows Server ครับ และเป็นเครื่องมือที่ Microsoft ให้ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งใช้งานได้ฟรี !!!!!
รูปด้านล่าง เป็นรูปที่แสดงถึงฟีเจอร์หรือความสามารถต่างๆ ของ Windows Admin Center (WAC) ในการบริหารและจัดการ Windows Server ครับ และเป็นเครื่องมือที่ Microsoft ให้ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งใช้งานได้ฟรี !!!!!
สำหรับในส่วนของการทำงานร่วมกันระหว่าง Windows Admin Center (WAC) กับ Microsoft Azure นั้น ต้องบอกว่า WAC สามารถทำงานร่วมกับหลายๆ Services ใน Microsoft Azure ครับ ณ ตอนนี้มีประมาณนี้ครับ และมีความเป็นไปได้แน่นอนที่จะมีการอัพเดทเพิ่มเติมครับ
เรื่องต่อมาเป็นเรื่องของ Architecture ของ Windows Admin Center (WAC) ครับ ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นว่า WAC สามารถบริหารและจัดการ Windows Server ใน On-Premise Data Center รวมถึงใน Microsoft Azure โดย ไม่ต้องมีการติดตั้ง Agent สำหรับตัวของ Windows Admin Center หรือ WAC เองรองรับ Browser 2 ตัว คือ Microsoft Edge และ Google Chrome ครับ
สำหรับการติดตั้ง Windows Admin Center (WAC) นั้นต้องบอกเลยครับว่าไม่ยาก และยังสามารถติดตั้งบน Windows Server หรือจะเป็น Windows 10 ก็ได้ครับ รายละเอียดเกี่ยวกับ Requirements และการติดตั้งนั้น สามารถดูรายละเอียดจาก Link นี้ได้เลยครับ https://docs.microsoft.com/en-us/windows-server/manage/windows-admin-center/overview
และเมื่อติดตั้ง Windows Admin Center (WAC) เสร็จเรียบร้อย หน้าตาจะเป็น ดังรูปด้านล่างครับ
จากนั้นให้คลิ๊ก Add เพื่อทำการเชื่อมต่อกับ Windows Server หรือ Windows 10 ดังรูปด้านล่างครับ
ในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อของ Windows Admin Center (WAC) จะมีให้เลือกหลาย Options ครับ ดังนี้:
1. Windows Server ที่อยู่ใน On-Premise เลือก Windows Server
2. Windows Server ที่ติดตั้งและรันเป็น Virtual Machine (Azure Virtual Machine) บน
Microsoft Azure เลือก Azure VM
3. Windows 10 เลือก Windows PC
4. Windows Server Clustering เลือก Windows Server Cluster
ผมขออนุญาตยกตัวอย่างนะครับ เช่น ในกรณีที่ท่านผู้อ่านต้องการใช้ Windows Admin Center (WAC) เชื่อมต่อกับ Windows Server ที่อยู่ใน On-Premise เลือก Windows Server จากนั้นให้ท่านผู้อ่านกำหนดชื่อเครื่องหรือ IP Address ของ Windows Server ดังกล่าวครับ แต่ถ้าต้องการเชื่อมต่อกับ Azure VM เลือก Azure VM จากนั้น ท่านผู้อา่นจะต้องทำการ Sign-In ก่อนนะครับ รูปด้านล่าง เป็นการกำหนดค่า่สำหรับ Windows Admin Center (WAC) เชื่อมต่อกับ Azure VM ครับ โดยหลังจากที่ Sign-In เรียบร้อยแล้วนะครับ
เมื่อกำหนดค่าต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ท่านผู้อ่านจะเห็นว่าจะมีชื่อหรือ IP Address ของ Azure VM ปรากฎขึ้นมาใน Windows Admin Center (WAC) ครับ
จากน้้นให้คลิ๊ก Manage as จากนั้นให้ใส่ Username และ Password เพื่อทำการเชื่อมต่อไปยัง Azure VM ดังกล่าวครับ
เมื่อกำหนดค่าต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้คลิ๊ก Connect ครับ ก็จะปรากฎหน้าตา ดังรูปด้านล่างครับ
และนี่คือหน้าตาของ Windows Admin Center (WAC) หลังจากที่ทำการเชื่อมต่อไปยัง Azure VM เรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นว่า WAC มีการแสดงค่าต่างๆ เบื้องต้นที่เกี่ยวกับ Azure VM เช่น Computer Name, Domain Name, OS, และอื่นๆ เป็นต้น รวมถึงสามารถแสดง Metric ของ CPU, Memory, และอื่นๆ ของ Azure VM ดังกล่าวได้อีกด้วยครับ
และด้านซ้ายมือของ Windows Admin Center (WAC) คือ ฟีเจอร์ต่างๆ มากมายที่สามารถใช้ในการบริหารและจัดการ Windows Server รวมถึงการทำงานร่วมกับ Microsoft Azure ครับ
ผมขอยกตัวอย่าง เช่น ในกรณีที่ ท่านผู้อ่านต้องการที่จะ Remote ไปยัง Azure VM ดังกล่าวหรือต้องการ Remote ไปยัง Windows Server ที่อยู่ใน On-Premise โดยปรกติท่านผู้อ่านจะต้องเรียกและเปิดใช้งาน Remote Desktop Connection ที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้วถูกต้องมั๊ยครับ นั่นหมายความว่าเรามีการใช้งานเครื่องมือหรือ Tools ตัวอื่น เพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งทำให้ผู้ดูแลระบบจะต้องมีการใช้งานเครื่องมือมากกว่า 1 ตัวในการบริหารและจัดการ และจากประเด็นดังกล่าวนี้เอง เป็นสิ่งที่ทาง Microsoft ได้พยายามคิดค้นและพัฒนาเครื่องมือในการบริหารและจัดการ โดยใช้เครื่องมือให้น้อยที่สุด หรือพูดง่ายๆ คือ ใช้แค่เครื่องมือเดียวครับ และเครื่องมือดังกล่าวนี้คือ Windows Admin Center (WAC) นั่นเองครับ นั่นหมายความว่าจากตัวอย่างที่ผมอธิบายตอนต้น ผมต้องการที่จะทำการ Remote ไปยัง Azure VM ผมสามารถทำได้โดย WAC ครับ โดยให้ท่านผู้อ่านไปยัง Remote Desktop ซึ่งอยู่ด้านซ้ายใน Windows Admin Center (WAC) ดังรูปครับ
![]() |
และในกรณีที่ท่านผู้อ่านต้องการสร้าง Azure VM ก็สามารถทำได้ผ่านทาง WAC เช่นกันครับ
ซึ่งเท่าที่ผมได้ทำการทดลองสร้าง Azure VM ผ่านทาง WAC ก็รู้สึกว่ามันสะดวกและง่ายครับ และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการสร้าง Azure VM ครับ
และสิ่งที่น่าสนใจใน Windows Admin Center (WAC) นอกเหนือจากความสามารถหรือฟีเจอร์ต่างๆ ในการบริหารและจัดการ Windows Server แล้ว นั่นคือการทำงานร่วมกันระหว่าง WAC กับ Microsoft Azure ดังรูปครับ
ซึ่งทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถบริหารและจัดการในการใช้งาน Service ต่างๆ เช่น Azure Backup, Azure Monitor เป็นต้น ในการบริหารและจัดการแบบ Hybrid ครับ
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ Windows Admin Center (WAC) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ผมเรียกว่า Hybrid Management Tools ครับ ซึ่งผมเชื่อ WAC จะเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่สำคัญที่ใช้ในการบริหารและจัดการระบบไอทีขององค์กรไม่ว่าจะอยู่ใน On-Premise, Cloud, หรือเป็นแบบ Hybrid อย่าลิมไปดาวน์โหลดมาติดตั้งและลองใช้งานกันนะครับผม....
วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
รู้จักกับ Azure Virtual Machine (Azure VM) Encryption
สวัสดีครับทุกท่าน มาพบกันอีกเช่นเคยนะครับ สำหรับบทความนี้ผมจะหยิบยกเอาเครื่องของ Azure Virtual Machine (Azure VM) มานำเสนอครับ แต่จะเป็นโฟกัสในเรื่องของการ Encryption ที่จะใช้กับ Azure Virtual Machine ครับ และเมื่อพูดถึงเรื่องของการ Encryption แล้ว คงหนีไม่พ้นเรื่องของความปลอดภัยแน่นอนครับ ซึ่งผมต้องขออนุญาตชี้แจ้งก่อนนะครับว่าเรื่องของ Security ใน Microsoft Azure นั้นถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจและมีรายละเอียดมากพอสมควรครับ เนื่องจากแต่ละ Services ที่ใช้งานบน Microsoft Azure ก็จะมีฟีเจอร์หรือรูปแบบของการจัดการเรื่องความปลอดภัยหรือ Security ที่แตกต่างกันไปครับ และในบทความของผมตอนนี้เป็นเพียงแค่หยิบเรื่องของ Security ใน Azure Virtual Machine ขึ้นมาเป็นตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นครับ
Disks ในรูปแบบต่างๆ ของ Azure Virtual Machine
ผมขอเริ่มจากเวลาที่ท่านผู้อ่านทำการสร้าง Azure Virtual Machine ซึ่ง OS ที่ติดตั้งจะเป็น Windows หรือ Liunx ก็ตาม แต่ละ Azure Virtual Machine ที่ได้สร้างขึ้นก็จมาพร้อมกับ Disks ต่างๆ ดังนี้ครับ:
1. OS Disk
2. Temp Disk
3. Data Disk
สำหรับ OS Disk ก็จะเป็น Disk ที่ติดตั้ง OS เช่น Windows Server หรือ Linux ครับ แล้วแต่ตอนที่เราทำการเลือกจาก Azure Marketplace ครับ สมมติว่า ผมเลือกติดตั้ง OS เป็น Windows Server, OS ดังกล่าวนี้ก็จะเป็น Drive C: ครับ Disk ชนิดต่อมาคือ Temp Disk จะเป็น Disk ที่เอาไว้ใช้เก็บข้อมูลชั่วคราวครับ และสุดท้ายมันจะเป็น Drive D: ครับ และสุดท้ายคือ Data Disk ครับ โดย Disk ชนิดนี้ท่านผู้อ่านจะต้องทำการ Add หรือเพิ่มเข้าไปเองนะครับ แล้วทำการกำหนดขนาดหรือ Size ครับ จากนั้นก็กำหนด Drive Letter ที่ต้องการครับผม คร่าวๆ ประมาณนี้นะครับสำหรับ Disks ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับ Azure Virtual Machine ครับ และ Disks ที่เราให้ความสำคัญคือ OS กับ Data Disk ครับ เพราะเป็น Disks ที่มีการเก็บข้อมูลที่เราใช้งานครับ
สมมตินะครับ ถ้ามีใครมาถามท่านผู้อ่านเกี่ยวกับเรื่องของ Security ของ Azure Virtual Machine แบบตัวอย่างนี้ซึ่งตัวผมก็เคยได้รับคำถามนี้ และในบางครั้งผมเองก็ถามคำถามนี้กับลูกค้าที่เข้าอบรมกับผมเช่นกันครับ
"Disks ใน Azure Virtual Machine มีการเข้ารหัสหรือทำ Encryption ให้โดยอัตโนมัติมั๊ยครับ"
ท่านผู้อ่านลองคิดก่อนนะครับ…..
คำตอบ ไม่มีการเข้ารหัสหรือการทำ Encryption Disks ของ Azure Virtual Machine โดยดีฟอลต์ครับ แต่สามารถทำการเข้ารหัสหรือทำ Encryption ได้ครับผม ประเด็นของการเข้ารหัสหรือ Encryption Disks ของ Azure Virtual Machine ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะมีความสงสัยในใจว่า ต้องทำด้วยหรือ ไม่ใช่ทาง Microsoft Azure เป็นคนจัดการให้หรือ และถ้าจำเป็นต้องทำ เพราะสาเหตุใดและทำไมเราจึงต้องทำการเข้ารหัสหรือการทำ Encryption Disks ของ Azure Virtual Machine ครับ
เอาล่ะครับจากคำถามที่ผมยกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น การเข้ารหัสหรือการทำ Encryption Disks ของ Azure Virtual Machine นั้นจะทำหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์กรในแง่ของความปลอดภัยครับ เพราะถ้าหากมึผู้ใดก็แล้วแต่มีสิทธิเข้าไปที่ Azure Portal ของท่านแล้วทำการ Download Disks (.VHD) ของ Azure Virtual Machine ลงมาที่เครื่องแล้วทำการ Attach Disk ดังกล่าว ก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ใน Disk ของ Azure Virtual Machine ได้เลยครับ นั่นหมายความว่่าแง่ของความปลอดภัย มีเรื่องของ Data Leak หรือข้อมูลรั่วไหลออกจากองค์กรครับ ประเด็นคือ เราจะสามารถจัดการกับปัญหาดังกล่าวนี้ได้อย่างไร คำตอบ คือ จัดการด้วยการทำ Encrytion Disks ของ Azure Virtual Machine ครับผม
มาดูกันในรายละเอียดเพิ่มเติมอีกซักหน่อยนะครับสำหรับเรื่องของ Azure Virtual Machine Encryption สำหรับการ Encyption ในรูปแบบนี้จะมี 2 วิธีการสำหรับการ Encryption เข้ามาเกี่ยวข้องครับ
1. Server Side Encryption (Data At Rest)
2. Azure Disk Encryption (Encrypt Disk ของ Azure Virtual Machine)
สำหรับในรูปแบบที่ 1 คือ Server Side Encryption (SSE) คือ การเข้ารหัสหรือ Encryption Disks (Managed Disk) ของ Azure Virtual Machines ทุกตัวโดยดีฟลอต์ เมื่อ Disks เหล่านี้เก็บอยู่ใน Azure Storage ครับ นั่นหมายความว่าข้อมูลหรือ Disks เหล่านี้นอนอยู่เฉยๆ ไม่มีการใช้งานนะครับหรือเรียกตาม State ของ Data ว่า Data At Rest ครับ เมื่อถูกใช้งานก็ถูกถอดรหัสหรือ Decrypt โดยอัตโนมัติครับ
ต่อมารูปแบบที่ 2 คือ Azure Disk Encryption หรือ ADE ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับองค์กรใดที่ต้องการเข้ารหัสหรือ Encryption Disks ของ Azure Virtual Machine เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลออกจากองค์กร ดังตัวอย่างที่ผมได้อธิบายไว้ในข้างต้นครับ โดยท่านผู้อ่านสามารถทำการเข้ารหัสหรือทำ Encryption ได้ทั้ง OS และ Data Disks ของ Azure Virtual Machine ซึ่งจะเป็น Windows หรือ Linux ก็ได้ครับ ADE ก็สามารถทำการเข้ารหัสหรือทำ Encryption ครับ
ในส่วนของรายละเอียดของการเข้ารหัสหรือทำ Encryption Disks ของ Azure Virtual Machine ใช้วิธีการหรือเทคโนโลยี ขึ้นอยู่กับ OS ที่ติดตั้งใน Azure Virtual Machine นั้นครับ ผมขออนุญาตสรุปตามรายละเอียดนี้ครับ
- Azure Virtual Machine (OS เป็น Windows) ใช้ BitLocker
- Azure Virtual Machine (OS เป็น Linux) ใช้ DMCrypt
ท่านผู้อ่านท่านใดสนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก Link นี้ได้เลยครับผม
https://docs.microsoft.com/en-us/azure/security/fundamentals/azure-disk-encryption-vms-vmss
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ Azure Virtual Machine Encryption ครับผม…..
Disks ในรูปแบบต่างๆ ของ Azure Virtual Machine
ผมขอเริ่มจากเวลาที่ท่านผู้อ่านทำการสร้าง Azure Virtual Machine ซึ่ง OS ที่ติดตั้งจะเป็น Windows หรือ Liunx ก็ตาม แต่ละ Azure Virtual Machine ที่ได้สร้างขึ้นก็จมาพร้อมกับ Disks ต่างๆ ดังนี้ครับ:
1. OS Disk
2. Temp Disk
3. Data Disk
สำหรับ OS Disk ก็จะเป็น Disk ที่ติดตั้ง OS เช่น Windows Server หรือ Linux ครับ แล้วแต่ตอนที่เราทำการเลือกจาก Azure Marketplace ครับ สมมติว่า ผมเลือกติดตั้ง OS เป็น Windows Server, OS ดังกล่าวนี้ก็จะเป็น Drive C: ครับ Disk ชนิดต่อมาคือ Temp Disk จะเป็น Disk ที่เอาไว้ใช้เก็บข้อมูลชั่วคราวครับ และสุดท้ายมันจะเป็น Drive D: ครับ และสุดท้ายคือ Data Disk ครับ โดย Disk ชนิดนี้ท่านผู้อ่านจะต้องทำการ Add หรือเพิ่มเข้าไปเองนะครับ แล้วทำการกำหนดขนาดหรือ Size ครับ จากนั้นก็กำหนด Drive Letter ที่ต้องการครับผม คร่าวๆ ประมาณนี้นะครับสำหรับ Disks ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับ Azure Virtual Machine ครับ และ Disks ที่เราให้ความสำคัญคือ OS กับ Data Disk ครับ เพราะเป็น Disks ที่มีการเก็บข้อมูลที่เราใช้งานครับ
สมมตินะครับ ถ้ามีใครมาถามท่านผู้อ่านเกี่ยวกับเรื่องของ Security ของ Azure Virtual Machine แบบตัวอย่างนี้ซึ่งตัวผมก็เคยได้รับคำถามนี้ และในบางครั้งผมเองก็ถามคำถามนี้กับลูกค้าที่เข้าอบรมกับผมเช่นกันครับ
"Disks ใน Azure Virtual Machine มีการเข้ารหัสหรือทำ Encryption ให้โดยอัตโนมัติมั๊ยครับ"
ท่านผู้อ่านลองคิดก่อนนะครับ…..
คำตอบ ไม่มีการเข้ารหัสหรือการทำ Encryption Disks ของ Azure Virtual Machine โดยดีฟอลต์ครับ แต่สามารถทำการเข้ารหัสหรือทำ Encryption ได้ครับผม ประเด็นของการเข้ารหัสหรือ Encryption Disks ของ Azure Virtual Machine ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะมีความสงสัยในใจว่า ต้องทำด้วยหรือ ไม่ใช่ทาง Microsoft Azure เป็นคนจัดการให้หรือ และถ้าจำเป็นต้องทำ เพราะสาเหตุใดและทำไมเราจึงต้องทำการเข้ารหัสหรือการทำ Encryption Disks ของ Azure Virtual Machine ครับ
เอาล่ะครับจากคำถามที่ผมยกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น การเข้ารหัสหรือการทำ Encryption Disks ของ Azure Virtual Machine นั้นจะทำหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์กรในแง่ของความปลอดภัยครับ เพราะถ้าหากมึผู้ใดก็แล้วแต่มีสิทธิเข้าไปที่ Azure Portal ของท่านแล้วทำการ Download Disks (.VHD) ของ Azure Virtual Machine ลงมาที่เครื่องแล้วทำการ Attach Disk ดังกล่าว ก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ใน Disk ของ Azure Virtual Machine ได้เลยครับ นั่นหมายความว่่าแง่ของความปลอดภัย มีเรื่องของ Data Leak หรือข้อมูลรั่วไหลออกจากองค์กรครับ ประเด็นคือ เราจะสามารถจัดการกับปัญหาดังกล่าวนี้ได้อย่างไร คำตอบ คือ จัดการด้วยการทำ Encrytion Disks ของ Azure Virtual Machine ครับผม
มาดูกันในรายละเอียดเพิ่มเติมอีกซักหน่อยนะครับสำหรับเรื่องของ Azure Virtual Machine Encryption สำหรับการ Encyption ในรูปแบบนี้จะมี 2 วิธีการสำหรับการ Encryption เข้ามาเกี่ยวข้องครับ
1. Server Side Encryption (Data At Rest)
2. Azure Disk Encryption (Encrypt Disk ของ Azure Virtual Machine)
สำหรับในรูปแบบที่ 1 คือ Server Side Encryption (SSE) คือ การเข้ารหัสหรือ Encryption Disks (Managed Disk) ของ Azure Virtual Machines ทุกตัวโดยดีฟลอต์ เมื่อ Disks เหล่านี้เก็บอยู่ใน Azure Storage ครับ นั่นหมายความว่าข้อมูลหรือ Disks เหล่านี้นอนอยู่เฉยๆ ไม่มีการใช้งานนะครับหรือเรียกตาม State ของ Data ว่า Data At Rest ครับ เมื่อถูกใช้งานก็ถูกถอดรหัสหรือ Decrypt โดยอัตโนมัติครับ
ต่อมารูปแบบที่ 2 คือ Azure Disk Encryption หรือ ADE ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับองค์กรใดที่ต้องการเข้ารหัสหรือ Encryption Disks ของ Azure Virtual Machine เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลออกจากองค์กร ดังตัวอย่างที่ผมได้อธิบายไว้ในข้างต้นครับ โดยท่านผู้อ่านสามารถทำการเข้ารหัสหรือทำ Encryption ได้ทั้ง OS และ Data Disks ของ Azure Virtual Machine ซึ่งจะเป็น Windows หรือ Linux ก็ได้ครับ ADE ก็สามารถทำการเข้ารหัสหรือทำ Encryption ครับ
ในส่วนของรายละเอียดของการเข้ารหัสหรือทำ Encryption Disks ของ Azure Virtual Machine ใช้วิธีการหรือเทคโนโลยี ขึ้นอยู่กับ OS ที่ติดตั้งใน Azure Virtual Machine นั้นครับ ผมขออนุญาตสรุปตามรายละเอียดนี้ครับ
- Azure Virtual Machine (OS เป็น Windows) ใช้ BitLocker
- Azure Virtual Machine (OS เป็น Linux) ใช้ DMCrypt
ท่านผู้อ่านท่านใดสนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก Link นี้ได้เลยครับผม
https://docs.microsoft.com/en-us/azure/security/fundamentals/azure-disk-encryption-vms-vmss
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ Azure Virtual Machine Encryption ครับผม…..
วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563
วิธีการตรวจสอบ Capacity ของ Azure Storage
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน สำหรับบทความตอนนี้ของผมมาจากลูกค้าที่เข้าอบรมหลักสูตร Microsoft Azure กับผมในสัปดาห์นี้ ได้สอบถามผมว่า "อาจารย์ครับ ผมอยากจะรู้ว่า Azure Storage ที่ผมใช้งานอยู่ใน Microsoft Azure ตอนนี้ข้อมูลที่เก็บอยู่บนนั้นมีขนาดเท่าไรครับ ตลอดจนรายละเอียดต่างๆ ของ Azure Storage หรือ Storage Account ที่ใช้งานอยู่ครับ และสามารถดูแยกแต่ละ Storage Accounts ได้หรือไม่ และต้องทำอย่างไรครับ"
จากคำถามช้างต้น ผมคิดว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจมากครับ เพราะที่ผ่านมาก็มีหลายท่านสอบถามผมด้วยคำถามเดียวกันนี้ครับ ผมจึงคิดว่าน่าจะเอาเรื่องดังกล่าวนี้มานำเสนอเป็นบทความให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ เผื่อว่าท่านใดที่ใช้งาน Microsoft Azure อยู่แล้วกำลังหาคำตอบอยู่ จะได้ทราบวิธีการครับ
เอาล่ะครับเกริ่นมาพอสมควรแล้ว ผมขอตอบคำถามที่ทางลูกค้าผมได้ถามไว้ข้างต้น ว่า เราสามารถรู้และทำได้ครับ โดยใช้เซอร์วิสหนึ่งใน Microsoft Azure ที่ชื่อว่า "Azure Monitor" ครับ มาดูวิธีการกันเลยครับ
เริ่มจาก Azure Portal จากนั้นให้ไปคลิ๊กที่ Azure Monitor หรือ Monitor ดังรูปด้านล่างครับ
จากนั้นจะเช้าสู่ในส่วนของ Azure Monitor ดังรูปครับ
จากคำถามช้างต้น ผมคิดว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจมากครับ เพราะที่ผ่านมาก็มีหลายท่านสอบถามผมด้วยคำถามเดียวกันนี้ครับ ผมจึงคิดว่าน่าจะเอาเรื่องดังกล่าวนี้มานำเสนอเป็นบทความให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ เผื่อว่าท่านใดที่ใช้งาน Microsoft Azure อยู่แล้วกำลังหาคำตอบอยู่ จะได้ทราบวิธีการครับ
เอาล่ะครับเกริ่นมาพอสมควรแล้ว ผมขอตอบคำถามที่ทางลูกค้าผมได้ถามไว้ข้างต้น ว่า เราสามารถรู้และทำได้ครับ โดยใช้เซอร์วิสหนึ่งใน Microsoft Azure ที่ชื่อว่า "Azure Monitor" ครับ มาดูวิธีการกันเลยครับ
เริ่มจาก Azure Portal จากนั้นให้ไปคลิ๊กที่ Azure Monitor หรือ Monitor ดังรูปด้านล่างครับ
จากนั้นจะเช้าสู่ในส่วนของ Azure Monitor ดังรูปครับ
จากนั้นให้ไปในส่วนของ Insights ซึ่งอยู่ด้านซ้ายมือครับ จะเห็นฟีเจอร์ที่ชื่อว่า "Storage Accounts (Preview)" ให้คลิ๊กเข้าไปเลยครับ ดังรูป
เมื่อคลิ๊กเข้าไปที่ Storage Accounts Preview แล้ว ก็จะเห็นว่าใน Azure Subscription ของท่านผู้อ่านมี Azure Storage หรือ Storage Account กี่อัน ดังรูปด้านล่างครับ
จากนั้นท่านผู้อ่านสามารถเลือกเข้าไปดูรายละเอียดของแต่ละ Azure Storage หรือ Storage Account โดยคลิ๊กที่ Storage Account จากตัวอย่างนี้ผมเลือก Storage Account ที่เก็บ Logs ของ Azure VMs ดังรูป
จากรูปด้านบน ผมสามารถดูรายละเอียดต่างๆ ของ Storage Account ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Overview, Failures, Performance, Availability, และ Capacity ครับ สำหรับรูปด้านล่าง ผมอยากรู้ข้อมูลของ Storage Account ชองผมในมุมของ Availability ครับ
และที่ลืมไม่ได้เลยคือ ดูรายละเอียดของ Storage Account ในเรื่องของ Capacity เพื่อตอบคำถามลูกค้าหรือลูกศิษย์ผมครับ
จากรูปด้านบนท่านผู้อ่านจะเห็นว่ามีข้อมูลเก็บอยู่ใน Storage Account ดังกล่าว อยู่ที่ 34.28 GB ครับ และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของวิธีการตรวจสอบ Azure Storage หรือ Storage Account ที่ใช้งานอยู่ครับผม…..
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2562
Azure Migration Part 3
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ห่างหายกันไปพอสมควรเนื่องจากผมติดงานหลายอย่างๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาครับ เริ่มจะมีเวลาซักหน่อยก็เลยลงมือเขียนบทความต่อครับ เอาล่ะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาสำหรับบทความของผมตอนนี้จะเป็นภาคต่อนะครับ ซึ่งจะเป็นเรื่องราวของการ Migration ไปยัง Microsoft Azure โดยตอนก่อนหน้านี้ผมได้พาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักกับเครื่องที่จะช่วยเราในเรื่องของการทำ Discover และ Assess เพื่อที่จะใช้ข้อมูลที่ได้นี้ นำไปวางแผนประกอบการตัดสินใจสำหรับการทำ Migration ในองค์กรหรืออฟฟิศของท่านผู้อ่านต่อไปครับ สำหรับบทความตอนนี้ผมจะพาท่านไปทำความรู้จักกับเครื่องมืออีกตัวหนึ่ง ซึ่ง ณ ปัจจุบันเครื่องมือตัวนี้มีความครบเครื่องมากครับ โดยเครื่องตัวนี้มีชื่อว่า "Azure Migrate" ครับ
Azure Migrate คืออะไร?
Azure Migrate เป็นเครื่องมือที่ให้บริการอยู่ใน Microsoft Azure ครับ ซึ่งมีหน้าที่ช่วยท่านผู้อ่านในการทำ Discover, Assess, และ Migrate ครับ โดยเจ้า Azure Migrate นี้เพิ่งจะออกเวอร์ชั่นใหม่ได้ไม่นานนี้ครับ ซึ่งบางท่านอาจจะเรียกว่าเป็น Azure Migrate เวอร์ชั่น 2 ก็ได้ครับ โดย Azure Migrate เวอร์ชั่นใหม่นี้จะมีความสามารถครบเครื่องกว่าเวอร์ชั่นแรกครับ คือ สามารถทำได้ตั้งแต่ Discover, Assess, และ Migrate ครับ โดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือตัวอื่นๆ มาช่วยโดยเฉพาะการทำ Migration ครับ ซึ่งในขณะที่ถ้าย้อนกลับไปที่ Azure Migrate เวอร์ชั่น 1 จะได้แค่เพียง Discover และ Assess ครับ สำหรับการทำ Migrate จะต้องอาศัยเครื่องมือตัวอื่นๆ เช่น Azure Site Recovery (ASR) เป็นต้นครับ
นอกจากนี้แล้ว Azure Migrate ยังนำเอาเครื่องมือต่างๆ ที่จะช่วยท่านผู้อ่านในการทำ Assess และ Migrate Database, Web Application, รวมถึงการย้ายข้อมูลขนาดใหญ่โดยใช้ Azure Data Box อีกทั้งยังรองรับและสามารถทำงานร่วมกับเครื่องมือต่างๆ ของ ISV เช่น Cloudamize, UnifyCloud, และอื่นๆ ครับ
ความสามารถที่เพิ่มเติมเข้ามาอีกใน Azure Migrate เวอร์ชั่น 2 คือ สามารถทำ Discover, Assess, และ Migrate จาก On-Premise Data Center ของท่านผู้อ่าน ที่ใช้ VMware, Hyper-V, Physical Servers, รวมถึง Workloads ที่รันอยู่ใน Cloud Providers อื่นๆ ด้วยครับ ในขณะที่ Azure Migrate เวอร์ชั่น 1 ใช้ได้กับ VMware เท่านั้นครับ อันที่จริงแล้ว Azure Migrate เวอร์ชั่น 2 นี้ยังมีความสามารถอีกเยอะครับ แต่ผมหยิบเอาที่เป็น Highlight ฟีเจอร์มาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันครับผม
เริ่มต้นใช้งาน Azure Migrate
สำหรับการเริ่มต้นใช้งาน Azure Migrate ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายครับ โดยให้ท่านผู้อ่านไปที่ Azure Portal แล้วไปที่ All Services แล้วพิมพ์คำว่า Azure Migrate ดังรูปด้านล่างครับ
ทำการคลิ๊ก Azure Migrate เลยครับ จากนั้นจะเข้าสู่หน้าหลักของ Azure Migrate ดังรูปครับ
จะสังเกตว่าใน Azure Migrate จะมีเครื่องมือต่างๆ ให้ท่านผู้อ่านเลือกใช้สำหรับการทำ Migration ตามที่ผมได้อธิบายไว้ในข้างต้นครับ สำหรับในบทความนี้ สมมุติว่าผมกำลังวางแผนและ Migrate เครื่องต่างๆ ที่อยู่ใน On-Premise Data Center ของผมขึ้นไปที่ Microsoft Azure ครับ ดังนั้นจากหน้าหลักของ Azure Migrate ผมจะทำการคลิ๊กที่ Servers ดังรูปครับ
แล้วคลิํก Add Tools ครับ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป ดังรูปด้านล่างครับ
จากรูปด้านบน ท่านผู้อ่านจะต้องกำหนดค่าต่างๆ เริ่มตั้งแต่ Azure Subscription, Resource Group, ชื่อของ Azure Migrate Projcet และ Location ครับ จากนั้นคลิ๊ก Next เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนในการเลือก Assessment Tools ดังรูปด้านล่างครับ
สำหรับขั้นตอนข้างต้นในการเลือก Assessment Tools นั้น ผมเลือก Azure Migrate:Server Assessment ครับ ซึ่งเป็นเครื่องมือของ Azure Migrate ในการทำ Assess และ Discover ครับ และจากรูปด้านบน ท่านผู้อ่านจะเห็น Tools หรือเครื่องมือตัวอื่นๆ อีกเยอะเลยครับ โดย Tools หรือเครื่องมือเหล่านี้มาจาก ISV ครับ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายนะครับ แต่ถ้าเป็น Azure Migrate:Server Assessment ที่ผมได้เลือกไว้ก่อนหน้านี้ ฟรีครับผม จากนั้นคลิ๊ก Next ต่อไปครับ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการเลือก Tools หรือเครื่องมือในการ Migrate ดังรูปด้านล่างครับ
จากรูปด้านบนจะเป็นการเลือก Migration Tools ครับ โดยผมจะทำการเลือก Azure Migrate:Server Migration ครับ โดยเครื่องมือตัวนี้จะเป็นเครื่องตัวใหม่ที่นำเข้ามาเพิ่มขีดความสามารถให้กับ Azure Migrate เวอร์ชั่น 2 ครับ โดยเครืองมือตัวนี้จะมาช่วยท่านผู้อ่านในการทำ Migration ครับ โดยไม่ต้องใช้ Azure Site Recovery ครับผม
เมื่อกำหนดค่าต่างๆ ตลอดจนเครื่องมือต่างๆ สำหรับ Azure Migrate Project เรียบร้อยแล้ว ก็จะเริมเข้าสู่ Phase แรก นั่นก็คือ การทำ Discover และ Assess ครับ ดังรูปด้านล่างครับ
โดยในส่วนของ Phase Discover และ Assess นี้ จะมีการ Download ไฟล์ๆ หนึ่ง ซึ่ง ไฟล์ดังกล่าวนี้คือ Virtual Machine ที่จะต้องการ Import ม้นเข้าไปใน On-Premise Data Center ครับ ซึ่งรองรับทั้ง VMware และ Hyper-V ซึ่งขึ้นอยู่กับ On-Premise Data Center ของท่านผู้อ่านใช้ตัวไหนครับ โดย Virtual Machine ดังกล่าวนี้จะทำหน้าที่ในการ Discover เครื่องต่างๆ ที่อยู่ใน On-Premise Data Center ของผมหรือของท่านผู้อ่าน แล้วนำข้อมูลต่างๆ ที่ได้ส่งกลับไปที่ Azure Migrate เพื่อทำการประเมินหรือทำ Assessment ต่อไปครับ ดังรูปครับ
จากนั้นให้ท่านผู้อ่านทำตามขั้นตอนต่างๆ ไปครับ ซึ่งเท่าที่ผมลองทดสอบดู ขั้นตอนเหล่านั้นไม่ได้ยุ่งยากมากเท่าไรครับ เมื่อทำการกำหนดค่าต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่ได้จากการ Discover ก็ถูกส่งกลับมาที่ Azure Migrate ซึ่งก็จะได้ผลลัพธ์ตามรูปด้านล่างครับ
หลังจากที่ได้ข้อมูลจาการก Discover มาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำ Assess ซึ่งจะเป็นขั้นตอนการนำเอาข้อมูลที่ได้จากการ Discover มาทำการวิเคราะห์และประเมิน โดยท่านผู้อ่านสามารถกำหนดเงื่อนไขต่างๆ เช่น Azure Reserved Instances (Azure RIs), Azure Hybrid Benefits, และอื่นๆ เพื่อใช้ในการประเมินหรือ Assessment ได้ครับ ดังรูป
และเมื่อทำการกำหนคค่าตลอดจนเงื่อนไขต่างๆ ในการทำ Assessment เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็คลิ๊กที่ Create Assessment ดังรูปครับ
รอซักครู่ครับ ท่านผู้อ่านจะได้เห็นผลลัพธ์ของการทำ Assessment ดังรูปด้านล่างครับ
จากข้อมูลที่ได้จากการทำ Assessment ท่านผู้อ่านก็จะทราบว่า ถ้าทำการ Migrate เครื่องหรือ Virtual Machines จาก On-Premise ขึ้นไปที่ Microsoft Azure นั้น Virtual Machines ดังกล่าวนั้นจะใช้ Azure Virtual Machine Series ใด, Sizes ใด, และจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไรครับ และยังมีรายละเอียดต่างๆ ที่ได้จากการทำ Assessment ด้วยครับ เช่น Azure Migrate จะแนะนำและแจ้งเราว่า Virtual Machines ตัวใดบ้างที่พร้อมทำการ Migrate ไปที่ Microsoft Azure เลย หรือตัวไหนที่ไม่พร้อมและต้องทำอย่างไร ดังรูปด้านล่างครับ
จากนั้นท่านผู้อ่านจะนำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประกอบกับปัจจัยหรือข้อมูลอื่นๆ เพื่อทำการวางแผน, ออกแบบและตัดสินใจว่าจะทำการ Migate เครื่องหรือ Virtual Machines ตัวใดบ้างจาก On-Premise ไปยัง Microsoft Azure ครับ และเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็จะเข้าสู่ Phase ของการ Migrate ซึ่ง ท่านผู้อ่านยังคงใช้ Azure Migrate เพื่อทำการ Migrate เครื่องหรือ Virtual Machines เหล่านั้น ได้เลยครับ
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ Azure Migration ครับผม…..
Azure Migrate คืออะไร?
Azure Migrate เป็นเครื่องมือที่ให้บริการอยู่ใน Microsoft Azure ครับ ซึ่งมีหน้าที่ช่วยท่านผู้อ่านในการทำ Discover, Assess, และ Migrate ครับ โดยเจ้า Azure Migrate นี้เพิ่งจะออกเวอร์ชั่นใหม่ได้ไม่นานนี้ครับ ซึ่งบางท่านอาจจะเรียกว่าเป็น Azure Migrate เวอร์ชั่น 2 ก็ได้ครับ โดย Azure Migrate เวอร์ชั่นใหม่นี้จะมีความสามารถครบเครื่องกว่าเวอร์ชั่นแรกครับ คือ สามารถทำได้ตั้งแต่ Discover, Assess, และ Migrate ครับ โดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือตัวอื่นๆ มาช่วยโดยเฉพาะการทำ Migration ครับ ซึ่งในขณะที่ถ้าย้อนกลับไปที่ Azure Migrate เวอร์ชั่น 1 จะได้แค่เพียง Discover และ Assess ครับ สำหรับการทำ Migrate จะต้องอาศัยเครื่องมือตัวอื่นๆ เช่น Azure Site Recovery (ASR) เป็นต้นครับ
นอกจากนี้แล้ว Azure Migrate ยังนำเอาเครื่องมือต่างๆ ที่จะช่วยท่านผู้อ่านในการทำ Assess และ Migrate Database, Web Application, รวมถึงการย้ายข้อมูลขนาดใหญ่โดยใช้ Azure Data Box อีกทั้งยังรองรับและสามารถทำงานร่วมกับเครื่องมือต่างๆ ของ ISV เช่น Cloudamize, UnifyCloud, และอื่นๆ ครับ
ความสามารถที่เพิ่มเติมเข้ามาอีกใน Azure Migrate เวอร์ชั่น 2 คือ สามารถทำ Discover, Assess, และ Migrate จาก On-Premise Data Center ของท่านผู้อ่าน ที่ใช้ VMware, Hyper-V, Physical Servers, รวมถึง Workloads ที่รันอยู่ใน Cloud Providers อื่นๆ ด้วยครับ ในขณะที่ Azure Migrate เวอร์ชั่น 1 ใช้ได้กับ VMware เท่านั้นครับ อันที่จริงแล้ว Azure Migrate เวอร์ชั่น 2 นี้ยังมีความสามารถอีกเยอะครับ แต่ผมหยิบเอาที่เป็น Highlight ฟีเจอร์มาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันครับผม
เริ่มต้นใช้งาน Azure Migrate
สำหรับการเริ่มต้นใช้งาน Azure Migrate ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายครับ โดยให้ท่านผู้อ่านไปที่ Azure Portal แล้วไปที่ All Services แล้วพิมพ์คำว่า Azure Migrate ดังรูปด้านล่างครับ
ทำการคลิ๊ก Azure Migrate เลยครับ จากนั้นจะเข้าสู่หน้าหลักของ Azure Migrate ดังรูปครับ
จะสังเกตว่าใน Azure Migrate จะมีเครื่องมือต่างๆ ให้ท่านผู้อ่านเลือกใช้สำหรับการทำ Migration ตามที่ผมได้อธิบายไว้ในข้างต้นครับ สำหรับในบทความนี้ สมมุติว่าผมกำลังวางแผนและ Migrate เครื่องต่างๆ ที่อยู่ใน On-Premise Data Center ของผมขึ้นไปที่ Microsoft Azure ครับ ดังนั้นจากหน้าหลักของ Azure Migrate ผมจะทำการคลิ๊กที่ Servers ดังรูปครับ
แล้วคลิํก Add Tools ครับ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป ดังรูปด้านล่างครับ
จากรูปด้านบน ท่านผู้อ่านจะต้องกำหนดค่าต่างๆ เริ่มตั้งแต่ Azure Subscription, Resource Group, ชื่อของ Azure Migrate Projcet และ Location ครับ จากนั้นคลิ๊ก Next เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนในการเลือก Assessment Tools ดังรูปด้านล่างครับ
สำหรับขั้นตอนข้างต้นในการเลือก Assessment Tools นั้น ผมเลือก Azure Migrate:Server Assessment ครับ ซึ่งเป็นเครื่องมือของ Azure Migrate ในการทำ Assess และ Discover ครับ และจากรูปด้านบน ท่านผู้อ่านจะเห็น Tools หรือเครื่องมือตัวอื่นๆ อีกเยอะเลยครับ โดย Tools หรือเครื่องมือเหล่านี้มาจาก ISV ครับ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายนะครับ แต่ถ้าเป็น Azure Migrate:Server Assessment ที่ผมได้เลือกไว้ก่อนหน้านี้ ฟรีครับผม จากนั้นคลิ๊ก Next ต่อไปครับ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการเลือก Tools หรือเครื่องมือในการ Migrate ดังรูปด้านล่างครับ
จากรูปด้านบนจะเป็นการเลือก Migration Tools ครับ โดยผมจะทำการเลือก Azure Migrate:Server Migration ครับ โดยเครื่องมือตัวนี้จะเป็นเครื่องตัวใหม่ที่นำเข้ามาเพิ่มขีดความสามารถให้กับ Azure Migrate เวอร์ชั่น 2 ครับ โดยเครืองมือตัวนี้จะมาช่วยท่านผู้อ่านในการทำ Migration ครับ โดยไม่ต้องใช้ Azure Site Recovery ครับผม
เมื่อกำหนดค่าต่างๆ ตลอดจนเครื่องมือต่างๆ สำหรับ Azure Migrate Project เรียบร้อยแล้ว ก็จะเริมเข้าสู่ Phase แรก นั่นก็คือ การทำ Discover และ Assess ครับ ดังรูปด้านล่างครับ
โดยในส่วนของ Phase Discover และ Assess นี้ จะมีการ Download ไฟล์ๆ หนึ่ง ซึ่ง ไฟล์ดังกล่าวนี้คือ Virtual Machine ที่จะต้องการ Import ม้นเข้าไปใน On-Premise Data Center ครับ ซึ่งรองรับทั้ง VMware และ Hyper-V ซึ่งขึ้นอยู่กับ On-Premise Data Center ของท่านผู้อ่านใช้ตัวไหนครับ โดย Virtual Machine ดังกล่าวนี้จะทำหน้าที่ในการ Discover เครื่องต่างๆ ที่อยู่ใน On-Premise Data Center ของผมหรือของท่านผู้อ่าน แล้วนำข้อมูลต่างๆ ที่ได้ส่งกลับไปที่ Azure Migrate เพื่อทำการประเมินหรือทำ Assessment ต่อไปครับ ดังรูปครับ
จากนั้นให้ท่านผู้อ่านทำตามขั้นตอนต่างๆ ไปครับ ซึ่งเท่าที่ผมลองทดสอบดู ขั้นตอนเหล่านั้นไม่ได้ยุ่งยากมากเท่าไรครับ เมื่อทำการกำหนดค่าต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่ได้จากการ Discover ก็ถูกส่งกลับมาที่ Azure Migrate ซึ่งก็จะได้ผลลัพธ์ตามรูปด้านล่างครับ
หลังจากที่ได้ข้อมูลจาการก Discover มาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำ Assess ซึ่งจะเป็นขั้นตอนการนำเอาข้อมูลที่ได้จากการ Discover มาทำการวิเคราะห์และประเมิน โดยท่านผู้อ่านสามารถกำหนดเงื่อนไขต่างๆ เช่น Azure Reserved Instances (Azure RIs), Azure Hybrid Benefits, และอื่นๆ เพื่อใช้ในการประเมินหรือ Assessment ได้ครับ ดังรูป
และเมื่อทำการกำหนคค่าตลอดจนเงื่อนไขต่างๆ ในการทำ Assessment เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็คลิ๊กที่ Create Assessment ดังรูปครับ
รอซักครู่ครับ ท่านผู้อ่านจะได้เห็นผลลัพธ์ของการทำ Assessment ดังรูปด้านล่างครับ
จากข้อมูลที่ได้จากการทำ Assessment ท่านผู้อ่านก็จะทราบว่า ถ้าทำการ Migrate เครื่องหรือ Virtual Machines จาก On-Premise ขึ้นไปที่ Microsoft Azure นั้น Virtual Machines ดังกล่าวนั้นจะใช้ Azure Virtual Machine Series ใด, Sizes ใด, และจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไรครับ และยังมีรายละเอียดต่างๆ ที่ได้จากการทำ Assessment ด้วยครับ เช่น Azure Migrate จะแนะนำและแจ้งเราว่า Virtual Machines ตัวใดบ้างที่พร้อมทำการ Migrate ไปที่ Microsoft Azure เลย หรือตัวไหนที่ไม่พร้อมและต้องทำอย่างไร ดังรูปด้านล่างครับ
จากนั้นท่านผู้อ่านจะนำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประกอบกับปัจจัยหรือข้อมูลอื่นๆ เพื่อทำการวางแผน, ออกแบบและตัดสินใจว่าจะทำการ Migate เครื่องหรือ Virtual Machines ตัวใดบ้างจาก On-Premise ไปยัง Microsoft Azure ครับ และเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็จะเข้าสู่ Phase ของการ Migrate ซึ่ง ท่านผู้อ่านยังคงใช้ Azure Migrate เพื่อทำการ Migrate เครื่องหรือ Virtual Machines เหล่านั้น ได้เลยครับ
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ Azure Migration ครับผม…..
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2562
รู้จักกับ Azure Dedicated Host
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน สำหรับบทความนี้ผมขอแนะนำ Service ใหม่ใน Microsoft Azure ที่เพิ่งออกมาไม่นานนี้ครับ Service ใหม่นี้มีชื่อว่า "Azure Dedicated Host" ณ ตอนนี้ที่ผมเขียนบทความนี้ยังเป็น Preview อยู่นะครับ โดย Azure Dedicated Host นี้จะเป็น Service ที่ให้ท่านผู้อ่านสามารถสร้างและรัน Azure Virtual Machines ใน Single-Tenant Physical Services นั่นหมายความว่าท่านผู้อ่านสามารถสร้างและรัน Azure Virtual Machines โดยไม่ต้องไปแชร์ทรัพยากร (CPU, Memory, และอื่นๆ) กับคนอื่นครับ ซึ่งแตกต่างจาก "Isolated Virtual Machine" ซึ่งเป็น Service ที่มีให้บริการก่อนหน้านี้ครับ โดย Isolated Virtual Machine ให้บริการ Virtual Machines ที่มีสเปคแรงหรือขนาดใหญ่อยู่ 2 แบบ และแน่นอนสำหรับ Azure Dedicated Host มีความแตกต่างออกไปครับ จะเป็นอย่างไรและมีรายละเอียดอย่างไร เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมจะพาท่านผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับ Azure Dedicated Host กันเลยครับผม
Azure Dedicated Host คืออะไร?
เป็น Service ที่ให้บริการและรองรับการสร้างและรัน Virtual Machines ไม่ว่าจะเป็น Windows, Linux, และ SQL โดยคิดค่าใช้จ่ายตาม Host ครับ โดยไม่สนใจว่าจะรันกี่ Virtual Machines ครับ ผมขอยกตัวอย่างสเปคของ Host ที่ให้บริการ Azure Dedicated Host เช่น
Type 1: Intel Xeon 2.3 GHz E5-2673 v4 โดย Clock Seed สามารถอัพได้ถึง 3.5 GHz
Type 2: Intel Xeon Platinum 8168 กับ Single-Core Clock Speed โดยสามารถอัพได้ถึง 3.7 GHz
สำหรับ Memory มีให้เลือกตั้งแต่ 144 GiB - 448 GiB และมี Azure Virtual Machine Series และ Sizes ให้เลือกใช้ เช่น Dsv3, Esv3, และ Fsv2 Series รวมถึง Azure Storage ที่มีให้เลือกใช้ไม่ว่าจะเป็น Standard HDDs, Standard SSDs, และ Premium SSDs สำหรับรายละเอียดของ Azure Dedicated Host สามารถดูได้จาก Link นี้ครับ https://azure.microsoft.com/en-us/pricing/details/virtual-machines/dedicated-host/
Azure Dedicated Host เป็น Service ที่สามารถช่วยองค์กรที่มีความต้องการเกี่ยวกับ Compliance สำหรับ Physical Security, Data Integrity, และ Monitoring โดย Dedicated Host ยังคงรันและทำงานเหมือนกับ Hosts อื่นๆ ที่ติดตั้งและทำงานใน Azure Data Centers แตกต่างกันตรงที่ ท่านผู้อ่านสามารถควบคุมและดูแลรักษา Host นั้นได้ครับ นอกจากนี้แล้วเรายังสามารถนำเอา Dedicated Hosts เข้ามาเพื่อทำการสร้างกลุ่มของ Physical Servers (Dedicated Servers) โดยใข้ Availability Zones For Fault Isolation หรือ Fault Domain For Fault Isolation เพื่อรองรับ High Availability และแน่นอนหากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นกับ Hardware ของ Host นั้นๆ ก็จะส่งผลกระทบกับ Virtual Machines ที่รันอยู่ใน Dedicated Host นั้นๆ ครับ สำหรับ Azure Dedicated Host ท่านผู้อ่านสามารถเลือกใช้ได้จาก Azure Marketplace ใน Azure Portal ดังรูป
สำหรับในส่วนของ License และราคาของ Azure Dedicated Host นั้นคิดค่าใช้จ่ายตาม Host ที่ใช้งาน โดยไม่คำนึงถึงจำนวนของ Azure Virtual Machines ที่รันใน Host (Azure Dedicated Hosts) นั้น สำหรับในส่วนของ License จะมีค่าใช้จ่ายต่างหากไม่รวมกับ Compute Resources ที่ใช้งานครับ โดยคิดตาม Virtual Machine ที่ใช้งานครับ ในกรณีที่ออฟฟิศผู้ใช้งานมีการซื้อ Windows และ SQL Server Licenses พร้อมกับ Software Assurance และมีการ Migrate Workloads หรือ Virtual Machines มารันใน Azure Dedicated Host, ท่านผู้อ่านสามารถใช้ "Azure Hybrid Benefit" รายละเอียดสามารถดูเพิ่มเติมได้จาก Link นี้ครับ https://azure.microsoft.com/en-us/pricing/hybrid-benefit/
ณ ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ Microsoft จะคิดค่าใช้จ่าย Azure Dedicated Host ในรูปแบบ pay-as-you-go นั่นก็คือ เราใช้เท่าไรก็จ่ายเท่านั้นครับ ข้อมูลเพิ่มเติมของ Azure Dedicated Host สามารถติดตามได้จาก Link นี้ครับ https://azure.microsoft.com/en-us/services/virtual-machines/dedicated-host/
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ Azure Dedicated Hosts ครับผม…..
Azure Dedicated Host คืออะไร?
เป็น Service ที่ให้บริการและรองรับการสร้างและรัน Virtual Machines ไม่ว่าจะเป็น Windows, Linux, และ SQL โดยคิดค่าใช้จ่ายตาม Host ครับ โดยไม่สนใจว่าจะรันกี่ Virtual Machines ครับ ผมขอยกตัวอย่างสเปคของ Host ที่ให้บริการ Azure Dedicated Host เช่น
Type 1: Intel Xeon 2.3 GHz E5-2673 v4 โดย Clock Seed สามารถอัพได้ถึง 3.5 GHz
Type 2: Intel Xeon Platinum 8168 กับ Single-Core Clock Speed โดยสามารถอัพได้ถึง 3.7 GHz
สำหรับ Memory มีให้เลือกตั้งแต่ 144 GiB - 448 GiB และมี Azure Virtual Machine Series และ Sizes ให้เลือกใช้ เช่น Dsv3, Esv3, และ Fsv2 Series รวมถึง Azure Storage ที่มีให้เลือกใช้ไม่ว่าจะเป็น Standard HDDs, Standard SSDs, และ Premium SSDs สำหรับรายละเอียดของ Azure Dedicated Host สามารถดูได้จาก Link นี้ครับ https://azure.microsoft.com/en-us/pricing/details/virtual-machines/dedicated-host/
Azure Dedicated Host เป็น Service ที่สามารถช่วยองค์กรที่มีความต้องการเกี่ยวกับ Compliance สำหรับ Physical Security, Data Integrity, และ Monitoring โดย Dedicated Host ยังคงรันและทำงานเหมือนกับ Hosts อื่นๆ ที่ติดตั้งและทำงานใน Azure Data Centers แตกต่างกันตรงที่ ท่านผู้อ่านสามารถควบคุมและดูแลรักษา Host นั้นได้ครับ นอกจากนี้แล้วเรายังสามารถนำเอา Dedicated Hosts เข้ามาเพื่อทำการสร้างกลุ่มของ Physical Servers (Dedicated Servers) โดยใข้ Availability Zones For Fault Isolation หรือ Fault Domain For Fault Isolation เพื่อรองรับ High Availability และแน่นอนหากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นกับ Hardware ของ Host นั้นๆ ก็จะส่งผลกระทบกับ Virtual Machines ที่รันอยู่ใน Dedicated Host นั้นๆ ครับ สำหรับ Azure Dedicated Host ท่านผู้อ่านสามารถเลือกใช้ได้จาก Azure Marketplace ใน Azure Portal ดังรูป
สำหรับในส่วนของ License และราคาของ Azure Dedicated Host นั้นคิดค่าใช้จ่ายตาม Host ที่ใช้งาน โดยไม่คำนึงถึงจำนวนของ Azure Virtual Machines ที่รันใน Host (Azure Dedicated Hosts) นั้น สำหรับในส่วนของ License จะมีค่าใช้จ่ายต่างหากไม่รวมกับ Compute Resources ที่ใช้งานครับ โดยคิดตาม Virtual Machine ที่ใช้งานครับ ในกรณีที่ออฟฟิศผู้ใช้งานมีการซื้อ Windows และ SQL Server Licenses พร้อมกับ Software Assurance และมีการ Migrate Workloads หรือ Virtual Machines มารันใน Azure Dedicated Host, ท่านผู้อ่านสามารถใช้ "Azure Hybrid Benefit" รายละเอียดสามารถดูเพิ่มเติมได้จาก Link นี้ครับ https://azure.microsoft.com/en-us/pricing/hybrid-benefit/
ณ ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ Microsoft จะคิดค่าใช้จ่าย Azure Dedicated Host ในรูปแบบ pay-as-you-go นั่นก็คือ เราใช้เท่าไรก็จ่ายเท่านั้นครับ ข้อมูลเพิ่มเติมของ Azure Dedicated Host สามารถติดตามได้จาก Link นี้ครับ https://azure.microsoft.com/en-us/services/virtual-machines/dedicated-host/
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ Azure Dedicated Hosts ครับผม…..
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)