วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

ทำความรู้จัก Hyper-V Replica (HVR) ตอนที่ 2 (Special)

     หลังจากตอนแรกผมได้อธิบายเรื่องราวต่างๆ  ของ High Availability (HA) และ Disaster Recovery (DR) ไปเรียบร้อยแล้ว

มาถึงตรงจุดนี้ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านพอจะเห็นภาพและเข้าใจคอนเซปต่างๆ  ของ  HA, DR และอื่นๆ ตามที่ผมได้อธิบายไปแล้วในข้างต้น  มาถึงตรงนี้ผมจะขอเข้าสู่เรื่องราวและรายละเอียดของ Hyper-V Replica หรือ HVR  ให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจและเห็นภาพว่า HVR ทำงานอย่างไรและมีประโยชน์อย่างไรครับผม
 
Hyper-V Replica เป็นฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการทำ Business Continuity และ Disaster Recovery (*จากคำอธิบายข้างต้น ) ให้เราสามารถทำการ Replicate Virtual Machines แบบ Asynchronous ผ่าน Link ที่มีความเร็วจำกัดหรือค่อนข้างช้าได้ และอย่างที่ผมได้อธิบายไว้ข้างต้นว่า Hyper-V Replica เป็นฟีเจอร์ที่ทางไมโครซอฟท์ออกแบบมาสำหรับการทำ DR  โซลูชั่นไม่ได้ถูกนำมาใช้แทน Clustering (หมายเหตุ:  Clustering เป็นโซลูชั่นที่ออกแบบมาสำหรับการทำ Availability) 


ประโยชน์ของ Hyper-V Replica

1. Hyper-V Replica ช่วยย้าย Workloads (VMs) จาก Primary Site ที่เกิดความเสียหาย จาก เหตุการณ์ต่างๆ เช่น
ไฟไหม้, ไฟดับ, ภัยธรรมชาติต่างๆ   และอื่นๆ ไปยัง Replica Server ที่อยู่ใน Secondary Site หรือ Site สำรอง ด้วย Downtime ที่น้อยที่สุด (*ขึ้นอยู่กับการออกแบบและโซลูชั่น)
2. Hyper-V Replicas ที่ตั้งอยู่ที่ Primary และ Secondary Sites ไม่ต้องเหมือนกัน เช่นที่ Primary Site มี Hyper-V Replica ที่ทำ Clustering แต่ที่ Secondary Site สามารถเป็นได้ทั้ง Clustering หรือ Stand-Alone Hyper-V Replica ก็ได้
3. มี API รองรับการการพัฒนาเพื่อทำการสร้าง Enterprise Disaster Recovery ที่มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น


Hyper-V Replica Requirements

- Hardware สนับสนุนหรือรองรับ Hyper-V Role และต้องเป็น Windows Server 2012
- พื่นที่หรือ Storage ที่เพียงพอสำหรับทั้ง Hyper-V Servers ที่อยู่ที่ Primary Site และ Hyper-V (Replica) Servers ที่อยู่ที่ Secondary Site หรือ Site สำรอง
- เน็คเวิรค์ที่เชื่อมต่อระหว่าง Primary และ Secondary Sites
- การกำหนด Firewall Rules เพื่ออนุญาตให้สามารถทำการ Replication ระหว่าง Primary และ Secondary Sites
- ถ้าคุณต้องการการเข้ารหัสข้อมูลของการ Replication คุณสามารถใช้ Certificate-Based Authentication (X.509 v3)
 
สิ่งหนึ่งที่ผมขออธิบายเพิ่มเติมเนื่องมีบางท่านเกิดความสับสนระหว่าง Hyper-V Replica กับ Hyper-V Live Migration  โดยตัวของ Hyper-V Replica นั้นจะทำการ Replicate และทำการจัดการให้ชุดสำเนาของ VMs ที่ถูก Replicated ไปนั้นให้มีความทันสมัย (Keep Up-to-Date)  หากเกิดกรณีของ Disaster ต่างๆ  เราสามารถทำการ Switch ไปใช้งานชุดสำเนาของ VMs เหล่านั้นที่ Site สำรอง ซึ่งถือว่าเป็น Unplanned Downtime  แต่สำหรับ Hyper-V Live Migration จะเป็นการย้าย Virtual Machines จาก Hyper-V Host หนึ่ง ไปอีก Host หนึ่ง แบบ Planned Downtime เช่น ท่านผู้อ่านอาจจะต้องทำการปิดหรือ Shutdown Hyper-V Host บางตัวเพื่อทำการ Maintenance  ดังนั้นเราจะทำการย้าย VMs ที่รันอยู่ใน Hyper-V Host นั้น ๆ ไปอีก Host หนึ่งแบบ Zero Downtime ครับ
เมื่อเริ่มทำการ Replication โดย Hyper-V Replica,  จะเริ่มด้วยการ copy VHDs ทั้งหมดที่คุณได้กำหนด โดย VHDs ทั้งหมดจะต้องถูกส่งไปยัง Hyper-V Replica Server ที่อยู่ที่ Site สำรอง  ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนี้จะต้องถูกทำก่อนที่จะทำการ Replication ตาม Cycle ปรกติ  (ซึ่งสามารถกำหนดความถี่ให้ทำการ Replicate Virtual Machines ที่เราต้องการจาก Site หลักไปยัง DR Site ได้ทุก ๆ 5 นาที   นอกจากนี้แล้ว Hyper-V Replica มีความแตกต่างจากโซลูชั่นอื่น ๆ คือ มันสามารถทำการ Replicate Virtual Machines จากที่หนึ่งไปที่หนึ่งได้โดยไม่คำนึงว่า Link ดังกล่าวนั้นจะมีความเสถียร (Reliability) มากน้อยแค่ไหน)  Hyper-V Replica มี 3 รูปแบบให้เลือกสำหรับการเริ่มทำ Replication
1. ทำการส่ง VHDs ที่คุณได้เลือกไว้ไปยัง Replica Server ที่ Secondary Site หรือ Site สำรอง ผ่านทางเน็คเวิรค์ โดยเราสามารถสั่งได้ทันทีหรือจะกำหนด Schedule ก็ได้ครับ
2. ใช้ชุด Backup ที่คุณได้ทำการสำรองข้อมูล (VHDs) แล้วทำการส่งไปยัง Site สำรอง
3. ใช้ External Media โดยทำการก๊อปปี้ VHDs ที่เราต้องการ แล้วทำส่ง External Media นั้นไปยัง Site สำรอง


หลังจากที่เราได้เริ่มทำการ Replication ด้วย Options ต่างๆ ตามข้างต้นแล้ว  Hyper-V Replica จะทำการส่งส่วนที่เปลี่ยนแปลงของ VM นั้นตาม Schedule ที่กำหนด  โดยการเปลี่ยนแปลงต่างๆ  ที่เกิดขึ้นนี้จะถูกติดตามหรือTracked ได้จาก Log ไฟล์ และจะถูก Compressed ก่อนที่จะถูกส่งไปยัง Replica Server  โดย Log ไฟล์ดังกล่าวนี้จะมีนามสกุล “.hrl” และจะอยู่ในที่เดียวกันกับที่เก็บ VHDs  ที่จะถูก Replicated และยังสามารถทำการ Compress หรือบีบอัดข้อมูล (Virtual Machines) เมื่อมีการ Replication  ดังรูป
 
 
และเพื่อสร้างความปลอดภัยสำหรับการทำ Replication ของ Hyper-V Servers,  เราจะต้องทำการกำหนดค่าในส่วนของ Windows Firewall เพื่ออนุญาตให้ Replication Traffic วิ่งผ่านได้ ซึ่งขั้นตอนนี้เราจะต้องทำเหมือนกันหมดนะครับไม่ว่าจะใช้ Firewall ยี่ห้อใด ๆ   แต่ถ้าใช้ Windows Firewall จะมี Rules ที่ของ Hyper-V Replica มาให้โดย Default, แต่ท่านผู้อ่านจะต้อง enable แบบ manual ครับโดยทำได้จาก Windows Firewall with Advanced Security Management Console, โดยจะมี 2 Inbound Rules:
1. Hyper-V Replica HTTP Listener (TCP-In)
2. Hyper-V Replica HTTPS Listener (TCP-In)
 
 
 
 
หมายเหตุ:  ดูขั้นตอนโดยละเอียดอีกครั้งจากตอนที่ทำการติดตั้ง Hyper-V Replica ครับ  และถ้าใช้ HTTPS เราจะต้องเตรียม Certificate-Based Authentication มาใช้งานด้วยครับ ซึ่งเราสามารถใช้ Windows Server 2012 ทำหน้าที่เป็น CA เพื่อดูแลและจัดการ Certificates ได้ครับ  สำหรับการ Authentication สำหรับ Hyper-V Replica นั้นมี 2 แบบให้เลือกครับ คือ Kerberos และ Certificated-Based Authentication ครับ
โปรดติดตามเรื่องของ Hyper-V Replicas (HVR) ตอน 3 เร็ว ๆ นี้ครับผม.....
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น